NER โชว์ปริมาณขาย 9 เดือนโต 20% แต่รับแรงกดดันราคายางหด จ่อบุ๊กยอดขายจีนล็อตใหญ่ใน Q4/66
ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 6, 2023 17:45 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.66 มีปริมาณขาย 369,478 ตัน เพิ่มขึ้น 60,868 ตัน หรือ เพิ่มขึ้น 19.72% คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 18,439.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 353.55 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 1.95% แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 11,949.62 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64.80% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,490.28 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.20% โดยงวด 9 เดือนแรกบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,083.87 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.88% ลดลงจากข่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 1,379.97 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 3 เดือน บริษัทมีปริมาณขายรวม 112,426 ตัน คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 5,627.92 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากการขายในประเทศ 4,035.91 ล้านบาท คิดเป็น 71.71% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 1,592.01 ล้านบาท คิดเป็น 28.29% โดยกำไรสุทธิสำหรับงวดไตรมาส 3/66 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 312.27 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.55% ของรายได้จากการขายรวม
รายได้จากการขายงวด 9 เดือนของปี 66 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นตามปริมาณขายผลิตภัณฑ์ยางแท่ง (STR20, STR-Mixture) ที่บริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้บริษัทจะมีผลต่างปริมาณขายสูงขึ้น 19.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในด้านรายได้จากการขายยังได้รับผลกระทบจากราคาขายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทเปรียบเทียบราคาขายเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนของปี 66 กับช่วงเดียวกันของปี 65 ราคาขายเฉลี่ยลดลง 14.55% นอกจากนี้รายได้ขายต่างประเทศที่ลดลงเกิดจากการเลื่อนการส่งมอบสินค้าไปยังประเทศจีนเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดวันชาติจีน ปริมาณขายอยู่ที่ 6,651.20 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 324.98 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรับรู้รายได้ดังกล่าวในไตรมาส 4/66
นายชูวิทย์ กล่าวถึงภาพรวมปี 66 ยังคงตั้งเป้าปริมาณขายสินค้าที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 515,600 ตัน โดยการเติบโตมาจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีการขายให้กับลูกค้าไปถึงไตรมาสที่ 1/67 แล้ว จากอานิสงส์ของคำสั่งซื้อจากประเทศจีนที่ยังมีความต้องการสูงและราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯ มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี
ด้านสถานการณ์ราคายางพารา เริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนความต้องการใช้ยางในภาคก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังได้รับกดดันจากอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ค่าเงินบาท
