ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563  (อ่าน 604 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 84892
    • ดูรายละเอียด

***ราคาทองปรับตัวขึ้นเหตุนักลงทุนวิตกประสิทธิภาพวัคซีนต้านโควิด

21 พฤษภาคม 2563  กรุงเทพธุรกิจ
ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดตลาดวันพุธ(20พ.ค.)ดีดตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และความวิตกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ดี ช่วงบวกของราคาทองถูกจำกัดจากการที่นักลงทุนเพิ่มการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนมิ.ย. ดีดตัวขึ้น 0.2% ปิดที่ราคา 1,748.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในวันนี้ ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากดิ่งลงวานนี้ จากการที่สื่อรายงานว่า ผลการทดลองวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นา ยังคงไม่ชัดเจนพอที่จะประเมินประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19


นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าววานนี้ว่า เฟดจะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อดูแลการทำงานของตลาด และจะอัดฉีดเงินให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็น

ส่วนนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ถือเป็นสิ่งท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อชาวอเมริกัน ซึ่งได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อครอบครัว และชุมชนทั่วประเทศ

นายมนูชินกล่าวปกป้องการใช้จ่ายเงินตามกฎหมาย Coronavirus Aid, Relief and Economic Security (CARES) วงเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสภาคองเกรสเพื่อเยียวยาภาคธุรกิจและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

***ราคาน้ำมันพุ่งเกือบ5%หลังสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลง

21 พฤษภาคม 2563 
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดตลาดวันพุธ(20พ.ค.)ปรับตัวขึ้นเกือบ 5% หลังการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงของสหรัฐ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากสัญญาณการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์น้ำมัน

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนก.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 1.53 ดอลลาร์ หรือ 4.79% ปิดที่ราคา 33.49 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ราคา 35.75 ดอลลาร์/บาร์เรล

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 700,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าเพิ่มขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรล

สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (เอพีไอ) ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว

อีไอเอ ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.5 ล้านบาร์เรล


นอกจากนี้ สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวก จากการที่รัฐบาลต่างๆพากันผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมัน รวมทั้งการที่ซาอุดีอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 1 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมิ.ย. นอกเหนือจากที่ได้ปรับลดกำลังการผลิตตามข้อตกลงของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส

การลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียลดกำลังการผลิตรวม 4.8 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อเทียบกับเดือนเม.ย. และจะทำให้ซาอุดีอาระเบียผลิตน้ำมันที่ระดับ 7.492 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมิ.ย.

ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงของกลุ่มโอเปกพลัส ซาอุดีอาระเบียมีกำหนดผลิตน้ำมันที่ระดับ 8.492 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนพ.ค.และมิ.ย.

ทางด้านสหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ และคูเวตระบุเช่นกันว่าจะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมตามซาอุดีอาระเบีย โดยทั้งสองประเทศจะปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มอีก 180,000 บาร์เรล/วัน

อย่างไรก็ดี ช่วงบวกของราคาน้ำมันถูกจำกัดจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิตสูงสุดในโลก

***ผลประกอบการบริษัทสดใสหนุนดาวโจนส์ปิดบวก

21 พฤษภาคม 2563 
ผลประกอบการบริษัทสดใสหนุนดาวโจนส์ปิดบวก หลังจากช่วงเปิดตลาดปรับตัวร่วงลงเกือบ 400 จุด ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดตลาดวันพุธ(20พ.ค.)พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 300 จุด ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 28-29 เม.ย. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้อัตราดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 369.04 จุด หรือ 1.52% ปิดที่ 24,575.9 ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 48.67 จุดหรือ 1.67% ปิดที่ 2,971.61 จุดและดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 190.67 จุดหรือ 2.08% ปิดที่ 9,375.78 จุด

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 400 จุดเมื่อคืนนี้ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19

ขณะที่บริษัทโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ และเป็นคู่แข่งของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ เปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก


ทั้งนี้ โลว์สเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 1.77 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.32 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.968 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.832 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 11.2% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 3.3%

ทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก

ทั้งนี้ ทาร์เก็ตระบุว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 59 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 40 เซนต์/หุ้น นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 1.962 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.904 หมื่นล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.8% โดยได้แรงหนุนจากยอดขายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งทะยานขึ้น 141%

สำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (ซีบีโอ) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐโดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญภาวะซบเซาจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐในไตรมาส 2/2563 จะหดตัว 38% และจะมีคนตกงานมากขึ้น 26 ล้านคน เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่แล้ว

หากเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 38% ในไตรมาส 2 ตามที่ซีบีโอ คาดการณ์ ก็จะเป็นภาวะทรุดตัวรุนแรงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เศรษฐกิจหยุดชะงักลงจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาลเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

อย่างไรก็ดี ซีบีโอ ระบุว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังคลายวิตกเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ขณะที่การจ้างงานจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 3

สภาคองเกรสอนุมัติกฎหมายเยียวยาภาคธุรกิจและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วงเงินราว 3 ล้านล้านดอลลาร์ และขณะนี้กำลังพิจารณาร่างกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งอาจมีวงเงินมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ซีบีโอ คาดการณ์ว่ารัฐบาลจะประสบภาวะขาดดุลงบประมาณ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2563 และอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ในปีหน้า ซึ่งเทียบเท่ากับ 11% ของจีดีพีในปีนี้ และ 3% ในปีหน้า