ผู้เขียน หัวข้อ: วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อราคายาง วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558  (อ่าน 939 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 86805
    • ดูรายละเอียด
วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อราคายาง
วันจันทร์ที่  28  กันยายน  พ.ศ. 2558
ปัจจัย
วิเคราะห์
1.สภาพภูมิอากาศ
 
- มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคตะวันออกและภาคใต้มีฝนกระจายเกือบทั่วไป และตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไปร้อยละ   70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรังและสตูล ซึ่งส่งผลกระทบต่อการกรีดยาง
 
2.การใช้ยาง
 
- รายงานอุตสาหกรรมยางธรรมชาติของจีนและของโลกในช่วงปี   2557-2561 ระบุว่า ตลาดผู้ใช้ยางธรรมชาติทั่วโลกที่สำคัญ คือ จีน อินเดีย ทวีป   ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน เป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยในปี 2557 มีการใช้ยางธรรมชาติถึง 4,160,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13.1 มีสัดส่วนการใช้ถึงร้อยละ 39.1 ของปริมาณการใช้ทั้งหมดของโลก ซึ่งได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ของอุตสาหกรรมรถยนต์และยางล้อในจีน ปริมาณการใช้ยางธรรมชาติของจีนจะยังคงเติบโตขึ้นอีก และคาดว่าจะแตะระดับ 6,791,000 ตันในปี 2561
 
3.เศรษฐกิจโลก
 
- กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น   เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค   (CPI) ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือนสิงหาคม เมื่อเทียบรายปี   ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี อันเนื่องมาจากการปรับตัวลดลงของราคาพลังงาน ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นเผชิญกับอุปสรรคมากขึ้นในการจัดการกับภาวะเงินฝืดภายใน ประเทศ
- รัฐบาลญี่ปุ่นปรับลดการประเมินเศรษฐกิจญี่ปุ่นในเดือนกันยายน อันเนื่องจากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ซบเซาลง  อย่างไรก็ตามรัฐบาลหลีกเลี่ยงที่จะแสดงมุมมองว่าอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นั้นย่ำแย่หรือไม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ญี่ปุ่น
- สำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส ระบุว่าผู้บริโภคของฝรั่งเศสมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและการ เงินในเดือนกันยายน   ขณะที่มีความวิตกลดน้อยลงเกี่ยวกับการว่างงาน ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 3 จุด ในเดือนกันยายน สู่ระดับ 97   ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 หรือในรอบ 8 ปี
- ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกน   ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ขั้นสุดท้ายประจำเดือนกันยายน ลดลงสู่ระดับ 87.2 จากระดับ 91.9 ในเดือนสิงหาคม ส่วนดัชนีภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันลดลงแตะ 101.2 ในเดือนกันยายน จาก 105.1 ในเดือนสิงหาคม
- บริษัทมาร์กิต อิโคโนมิกส์   ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เบื้องต้นสำหรับภาคบริการของสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 55.6 ในเดือนกันยายน จากระดับ 56.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า   ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขั้นสุดท้ายสำหรับช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยสูงกว่าตัวเลขที่ประเมินไว้ก่อนหน้า ที่ระดับร้อยละ 3.7 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งขณะเข้าสู่ช่วงไตรมาส 3
 
4.   อัตราแลกเปลี่ยน
 
-   เงินบาทอยู่ที่ 36.24 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ  แข็งค่า 0.02 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ
-   เงินเยนอยู่ที่ 120.39 เยนต่อดอลล่าร์สหรัฐ  อ่อนค่า 0.32 เยนต่อดอลล่าร์สหรัฐ
- ประธานาธิบดีจีนให้คำมั่นว่าจีนจะพยายามหลีกเลี่ยงการปรับลดค่าเงินหยวนลง อีก   ส่วนธนาคารกลางจีนแถลงว่าจะรักษานโยบายการเงินที่มีเสถียรภาพ และมีความต่อเนื่อง โดยจะดำเนินนโยบายการเงินที่มีความระมัดระวังและมุ่งสร้างสมดุลระหว่างการ ผ่อนคลายและการคุมเข้มนโยบาย
 
5.   ราคาน้ำมัน
 
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ปิดตลาดที่ 45.7 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล   เพิ่มขึ้น 0.79 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากมีรายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงเกินไป
- สแตนดาร์ด แอนด์พัวร์ (S&P) ประกาศปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์ในปีนี้สู่ระดับ 50 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมที่ 55 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน WIT ในปีนี้สู่ระดับ 45 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากเดิมที่ 50 ดอลล่าร์สหรัฐ  นอกจากนี้ยังได้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเรนท์ในปีหน้าสู่ระดับ   55 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ WIT ที่ระดับ   50 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล
 
6.   การเก็งกำไร
 
- ราคาตลาด TOCOM ส่งมอบเดือนตุลาคม อยู่ที่ 159.7 เยนต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 0.9   เยนต่อกิโลกรัม และส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 169.0 เยนต่อกิโลกรัม   เพิ่มขึ้น 0.7 เยนต่อกิโลกรัม
- ราคาตลาด SICOM เปิดตลาดที่ 132.0   เซนต์สหรัฐต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1.0 เซนต์สหรัฐต่อกิโลกรัม
 
7. ข่าว
 
-   ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ประเมินว่า   เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ภายในสิ้นปีนี้
 
8. ข้อคิดเห็นของ ผู้ประกอบการ
 
- ราคายางปรับขึ้นได้เล็กน้อย เพราะปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการกรีดยาง โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันตกยังคงมีฝนตกหนักต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตามตลาดต่างประเทศค่อนข้างเงียบ   ขายออกยาก โดยเฉพาะจีนเตรียมหยุดยาวเนื่องในวันชาติ
 
แนวโน้ม ราคายางมีแนวโน้มทรงตัวหรือเปลี่ยนแปลงในช่วงแคบ ๆ ในทิศทางเดียวกับราคาตลาดโตเกียว โดยมีปัจจัยบวกมาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและการอ่อนค่าของเงินบาท รวมทั้งนักลงทุนขานรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดีเกินคาดในไตรมาส 2 ส่วนปัจจัยลบมาจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอซื้อยางของจีนช่วงหยุดยาวเนื่อง ในวันชาติที่จะเริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคม 2558 นี้

ทีมวิเคราะห์สำนักงานตลาดกลางยางพาราสงขลา