วิกฤตเที่ยวนี้.. จะแก้ยากกว่าปี"40
วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00:10 น.
คอลัมน์ เมืองไทย 25 น.
โดย ทวี มีเงิน
หลายคนเริ่มห่วงว่าวิกฤตเศรษฐกิจปีนี้จะหนักกว่าวิกฤตปี 2540 ครั้งนั้นเป็น "วิกฤตหนี้ต่างประเทศ" เกิดจากรัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรีการเงินแต่ไปฟิกค่าเงินไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ สถาบันการเงิน ธุรกิจ แห่กู้หนี้ต่างประเทศ ดอกเบี้ยถูกๆ มาลงทุนเกินตัว ใช้จ่ายกันมือเติบเพราะไม่มีความเสี่ยง
โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ จนเกิด "ฟองสบู่" ธนาคาร ก็กู้หนี้ระยะสั้นมาปล่อยกู้ระยะยาว "กินส่วนต่าง" ดอกเบี้ย เมื่อเศรษฐกิจออกอาการ ส่งออกเริ่มหดตัวแต่นำเข้ายังสูง ต่อเนื่อง รายได้น้อยกว่ารายจ่าย ส่งผล "ขาดดุลบัญชี เดินสะพัด" สูงจนน่าห่วง สถาบันการเงินเริ่มขาดความ เชื่อมั่น รัฐบาลทยอยปิดแบงก์และบริษัทหลักทรัพย์
เมื่อนักเก็งกำไรสบช่องโจมตีค่าเงินบาท เจ้าหนี้เรียก หนี้คืน ส่งผลให้ทั้งภาคธุรกิจและสถาบันการเงินต้องปิดกิจการล้มกันระเนนระนาด จนรัฐบาลต้องเข้าไปพึ่งไอเอ็มเอฟ
วิกฤตคราวนั้นเรียกว่า "วิกฤตคนรวย" แม้โรงงานต้อง ปิดตัว ยังมีภาคเกษตรรองรับชาวบ้านไม่เดือดร้อน ยิ่งรัฐบาลตัดสินใจ "ลอยตัวค่าเงินบาท" ส่งผลให้สินค้าเกษตรกลับได้ราคาดี เกษตรกรชาวไร่ชาวนารากหญ้ามีเงินในกระเป๋ามากขึ้น
ต่างกันลิบลับกับปี 2558 คราวนี้คนระดับรากหญ้าไม่มีเงินในกระเป๋า ผลมาจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำหนักสุดในรอบหลายปีจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรไม่ว่าจะเป็นยางพารา มันสำปะหลัง โดยเฉพาะข้าวที่ราคาตกต่ำตั้งแต่ยกเลิกโครงการรับจำนำ แถมยังโดนภาวะฝนแล้งซ้ำเติม ผลผลิตออกมาต่ำกว่าที่คาด กลายเป็นโดน 2 เด้ง
นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนจากโครงการรถคันแรก ทำให้คนชั้นกลาง ข้าราชการ ต้องแบกภาระอีกอย่างน้อย 3 ปี ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่เป็นตัว "ฉุดกำลังซื้อ" ในชนบทลดต่ำลง คาดว่าไม่น้อยกว่า 30%
ปราฏการณ์นี้สะท้อนจากยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ที่ไปลงทุนในต่างจังหวัดทยอยม้วนเสื่อกลับบ้าน สินเชื่อแบงก์ชะลอตัว ยอดขายสินค้าอุปโภค แม้แต่มาม่า ยอดขายลดลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน
วิกฤตเที่ยวนี้เป็นวิกฤต "คนจน" น่าห่วงว่าจะแก้ยากกว่าวิกฤตปี 2540 ซึ่งเป็นวิกฤต "คนรวย"
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด