ผู้เขียน หัวข้อ: ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีสินค้า จีน-เม็กซิโก-แคนาดา มีผล 4 กุมภาฯ  (อ่าน 37 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 86196
    • ดูรายละเอียด

ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีสินค้า จีน-เม็กซิโก-แคนาดา มีผล 4 กุมภาฯ

23 ชม. ? อ่าน 1 นาที

? Matichon
ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารสั่งเก็บภาษีสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25 % และจากจีน 10 % มีผลวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ โดยให้เหตุผลเรื่องปัญหาเฟนทานิล และการเข้าเมืองผิดกฎหมาย

มติชนรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ลงนามในคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และสินค้าจากจีน 10% โดยให้มีผลบังคับใช้ทันทีในวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการดำเนินการที่เสี่ยงที่จะทำให้เกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ ที่นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่าอาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวและเงินเฟ้อกลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง

เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่น ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร 3 ฉบับแยกกันเกี่ยวกับภาษีนำเข้าหลังกลับจากเล่นกอล์ฟที่ฟลอริดา โดยให้คำมั่นว่าจะคงอัตราภาษีนี้ไว้จนกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติเกี่ยวกับเฟนทานิล ซึ่งเป็นสารตั้งต้นยาเสพติดและการอพยพเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมายจะสิ้นสุดลง

ตามคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามไป การจัดเก็บภาษีศุลกากรต่อทั้ง 3 ประเทศนี้จะเริ่มขึ้นในเวลา 00:01 น. ของวันที่ 4 กุมภาพันธ์ แต่สินค้าที่นำเข้ามาบนเรือหรือขนส่งทางบกก่อนจะเข้าสู่สหรัฐก่อน 00:01 น. ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากร

การลงนามสั่งเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าว อาศัยอำนาจการประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติภายใต้พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศและพระราชบัญญัติภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการจัดเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีผู้มีอำนาจสูงสุดสามารถกำหนดมาตรการคว่ำบาตรเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่าจะไม่มีการยกเว้นภาษีนำเข้า และหากแคนาดา เม็กซิโก หรือจีนใช้มาตรการตอบโต้กับสินค้าส่งออกของอเมริกา ทรัมป์อาจเพิ่มภาษีนำเข้าขึ้นอีกครั้ง

เอกสารข้อมูลของทำเนียบขาวระบุว่า ภาษีนำเข้าจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกว่าวิกฤตจะคลี่คลาย แต่ไม่ได้มีการให้รายละเอียดว่าทั้งสามประเทศจะต้องทำอะไรเพื่อขอให้มีการลดหย่อนผ่อนผันภาษีลง

การขึ้นภาษีศุลกากรดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของทรัมป์ในช่วงหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่ง โดยท้าทายคำเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่หวั่นเกรงว่าสงครามการค้าครั้งใหม่กับพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ของสหรัฐจะกัดเซาะการเติบโตของสหรัฐและส่งผลกระทบไปทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ทำให้ราคาสินค้าของผู้บริโภคและบริษัทต่างๆ สูงขึ้น

อย่างไรก็ดี เพื่อลดข้อกังวลที่ผู้กลั่นน้ำมันและบางรัฐยกขึ้น ทรัมป์ได้กำหนดตัวเลขการขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับพลังงานจากแคนาดาอยู่ที่ 10% แต่การนำเข้าพลังงานจากเม็กซิโกจะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าเต็มจำนวน 25%

จากข้อมูลของของทางการสหรัฐการนำเข้าน้ำมันดิบจากแคนาดาคิดเป็นมูลค่าเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 หรือประมาณหนึ่งในสี่ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐจากแคนาดา

ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในแคนาดาและเม็กซิโกใหม่ที่สูงขึ้น จะสร้างภาระให้กับห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคขนาดใหญ่ ซึ่งชิ้นส่วนต่างๆ สามารถข้ามพรมแดนได้หลายครั้งก่อนการประกอบขั้นสุดท้าย

การกระทำของสหรัฐทำให้แคนาดาและเม็กซิโกให้คำมั่นว่าจะตอบโต้ทันที แต่ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้จากจีนในทันที

แม้ว่าพรรครีพับลิกันยินดีกับข่าวดังกล่าว แต่กลุ่มอุตสาหกรรมและพรรคเดโมแครตพากันออกมาเตือนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อราคาสินค้าและข้าวของที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของผู้คน

เจค โคลวิน ประธานสภาการค้าต่างประเทศแห่งชาติ (NFTC) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของทรัมป์อาจส่งผลให้ต้นทุนของทุกอย่าง ตั้งแต่อะโวคาโดไปจนถึงรถยนต์เพิ่มขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้สหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโกหาทางแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ปัญหาลุกลาม

?เราควรเน้นที่การทำงานร่วมกับแคนาดาและเม็กซิโกเพื่อให้ได้เปรียบทางการแข่งขัน และอำนวยความสะดวกให้กับความสามารถของบริษัทสหรัฐในการส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก? คอลวินระบุในแถลงการณ์

เจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดและผู้บริหารธุรกิจในแคนาดาแสดงความไม่พอใจ พร้อมกับเรียกร้องให้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอย่างหนัก ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเม็กซิโกและแคนาดากล่าวว่า ประเทศของพวกเขาจะดำเนินการจัดเก็บภาษีตอบโต้

ขณะที่นักกฎหมายด้านการค้ากล่าวว่า ทรัมป์กำลังทดสอบขอบเขตของกฎหมายสหรัฐอีกครั้ง และมีแนวโน้มว่าจะมีการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อโต้แย้งคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ต่อไป