ผู้เขียน หัวข้อ: หุ้นสหรัฐปิดลบ/น้ำมันพุ่ง/ทองร่วง  (อ่าน 733 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 84557
    • ดูรายละเอียด
หุ้นสหรัฐปิดลบ/น้ำมันพุ่ง/ทองร่วง
« เมื่อ: มีนาคม 04, 2021, 07:56:14 AM »

***ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดร่วง $17.8 บอนด์ยีลด์พุ่ง-ดอลล์แข็งกดดันตลาด

ข่าวต่างประเทศ Thursday March 4, 2021 07:07 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 9 เดือนเมื่อคืนนี้ (3 มี.ค.) เนื่องจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 17.8 ดอลลาร์ หรือ 1.03% ปิดที่ 1,715.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 มิ.ย. 2563

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 49.2 เซนต์ หรือ 1.83% ปิดที่ 26.387 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 32.6 ดอลลาร์ หรือ 2.68% ปิดที่ 1,181.8 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 14.20 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ 2,354.40 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 1.47%

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในการถือครองทองคำ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะดึงดูดให้นักลงทุนหันเข้าซื้อพันธบัตร แต่จะเทขายทอง ในการปรับพอร์ตการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย

ขณะเดียวกันการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีความน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่นๆ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.19% แตะที่ 90.9464 เมื่อคืนนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังมีรายงานความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเปิดเผยว่า ชาวอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่จะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทุกคนภายในสิ้นเดือนพ.ค. ซึ่งเร็วกว่ากำหนดถึง 2 เดือน โดยการฉีดวัคซีนในวงกว้างจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้น

***น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.53 รับคาดการณ์โอเปกพลัสไม่เพิ่มผลิต-สต็อกเบนซินร่วง

ข่าวต่างประเทศ Thursday March 4, 2021 06:55 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งเมื่อคืนนี้ (3 มี.ค) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะไม่มีมติเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมวันนี้ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. พุ่งขึ้น 1.53 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 61.28 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 1.37 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 64.07 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังสื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ในการประชุมวันนี้ (4 มี.ค.) กลุ่มโอเปกพลัสจะมีมติคงกำลังการผลิตในเดือนเม.ย.

ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์กันว่า ที่ประชุมโอเปกพลัสจะมีมติผ่อนคลายมาตรการปรับลดกำลังการผลิต เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว โดยคาดว่าโอเปกพลัสจะเพิ่มกำลังการผลิต 1.5 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนเม.ย.

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 13.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 ก.พ. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.9 ล้านบาร์เรล

ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 9.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.9 ล้านบาร์เรล

อย่างไรก็ดี สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 21.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล


***ดาวโจนส์ปิดลบ 121.43 จุด นลท.ขายหุ้นเทคโนฯ-วิตกบอนด์ยีลด์พุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 4, 2021 06:43 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล แอมะซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล) รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 31,270.09 จุด ลดลง 121.43 จุด หรือ -0.39% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,819.72 จุด ลดลง 50.57 จุด หรือ -1.31% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,997.75 จุด ลดลง 361.04 จุด หรือ -2.70%

หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลงอย่างหนักถึง 2.49% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 1.47% เมื่อคืนนี้ โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

ทั้งนี้ หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.39% หุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 2.45% หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 2.89% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 2.49% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.57%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลแรงงานที่ซบเซาของสหรัฐ โดยออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 117,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ตำแหน่ง

อย่างไรก็ดี นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มการเงิน อันเนื่องมาจากความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐและการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 2.39% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก ทะยานขึ้น 3.8% หุ้น 3M บวก 0.51% ส่วนหุ้นในกลุ่มการเงินนั้น หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 1.96% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 1.05% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 1.57%

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ WTI หลังมีการคาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะไม่เพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมสัปดาห์นี้ โดยหุ้นเชฟรอน บวก 1.10% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.64% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 0.8% หุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 3.02%

นักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติให้ความเห็นชอบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ก่อนที่จะส่งให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามรับรองเป็นกฎหมาย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ของสหรัฐซึ่งกระทรวงแรงงานมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.พ.จะเพิ่มขึ้น 210,000 ตำแหน่ง

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.8 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2557 จากระดับ 58.3 ในเดือนม.ค.

ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 55.3 ในเดือนก.พ. จากระดับ 58.7 ในเดือนม.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ระดับ 58.7 โดยดัชนีภาคบริการของสหรัฐได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ท่ามกลางการเกิดพายุฤดูหนาวในสหรัฐ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนม.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ. และดุลการค้าเดือนม.ค.