ผู้เขียน หัวข้อ: ดาวโจนส์ทรงตัว/น้ำมันดิ่งหลังการผลิตฟื้นหลังเจอพายุหินมะ/ทองบวกเล็กน้อย  (อ่าน 622 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 83305
    • ดูรายละเอียด

***ดาวโจนส์ปิดทรงตัว นลท.ซื้อหุ้นปรับตัวตามศก.-ขายหุ้นเทคโน

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday February 20, 2021 06:15 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทรงตัวเมื่อคืนนี้ (19 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเข้าซื้อหุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจซึ่งจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นทันทีที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ชะลอตัวลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,494.32 จุด เพิ่มขึ้น 0.98 จุด หรือ +0.0031%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,906.71 จุด ลดลง 7.26 จุด หรือ -0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,874.46 จุด เพิ่มขึ้น 9.11 จุด หรือ +0.066%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.1%, ดัชนี S&P500 ลดลง 0.7% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.6%

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลบ นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งลดลง 1.51% ขณะที่หุ้นบวกนำโดยกลุ่มวัสดุซึ่งเพิ่มขึ้น 1.84%

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเดียร์ แอนด์ โค และหุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงิน, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มพลังงาน ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1%

หุ้นกลุ่มสายการบินในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนจะหันไปให้ความสนใจกับการเดินทางเมื่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านพ้นไป

แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อาทิ ไมโครซอฟท์, เฟซบุ๊ก, กูเกิล และเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวตามแนวโน้มขาลงที่เกิดขึ้นเกือบทั้งสัปดาห์นี้

หุ้นแอปเปิล และหุ้นแอมะซอน ปรับตัวลงด้วย เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นดังกล่าวหลังการทะยานขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

หุ้นแอพพลายด์ แมทีเรียลส์ ปรับตัวขึ้น หลังคาดการณ์รายได้ไตรมาส 2/2564 เพิ่มขึ้นเกินคาด เนื่องจากความต้องการเครื่องมือผลิตชิปเพิ่มขึ้นท่ามกลางภาวะขาดแคลนชิปทั่วโลก

การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน, ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 และความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตใหม่วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์นั้น ได้ช่วยหนุนตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์แตะระดับสูงสุดของวันศุกร์ หลังบริษัทเดียร์ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีนี้ และรายงานผลกำไรมากกว่า 2 เท่าในไตรมาสแรก เนื่องจากมีอุปสงค์เพิ่มขึ้นสำหรับเครื่องจักรในการทำฟาร์มและการก่อสร้าง

ส่วนดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงในสัปดาห์นี้เป็นครั้งแรกในเดือนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับมูลค่าตลาดหุ้นที่สูงขึ้น และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความวิตกว่า ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงในระยะสั้น

แบงก์ ออฟ อเมริกาคาดว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปรับตัวลงมากกว่า 10% เนื่องจากตลาดมีการซื้อขายที่ค่าพีอีมากกว่า 22 เท่า ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ยุคภาวะฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปลายทศวรรษ 1990

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้แรงหนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 58.8 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 71 เดือน จากระดับ 58.7 ในเดือนม.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ

ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 6.69 ล้านยูนิตในเดือนม.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 1.5% สู่ระดับ 6.61 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ และการขาดแคลนสต็อกบ้านในตลาด และเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 23.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว

***น้ำมัน WTI ปิดลบ 1.28 ดอลล์ คาดการผลิตฟื้นหลังเจอพายุหิมะ

ข่าวต่างประเทศ Saturday February 20, 2021 06:48 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า การผลิตน้ำมันดิบในรัฐเท็กซัสของสหรัฐจะกลับคืนสู่ภาวะปกติในไม่ช้านี้ หลังจากที่ต้องชัตดาวน์การผลิตจากผลกระทบของพายุฤดูหนาว

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 1.28 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 59.24 ดอลลาร์/บาร์เรล และในรอบสัปดาห์นี้ ลดลง 0.4%

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 1.02 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ 62.91 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ในรอบสัปดาห์นี้ เพิ่มขึ้น 0.8%

ตลาดน้ำมันถูกกดดัน โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงต่ำกว่าระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนคาดว่า ที่ประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศพันธมิตรในช่วงต้นเดือนมี.ค.นี้ อาจทำการพิจารณาปรับเพิ่มการผลิตน้ำมัน

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่า สัญญาณขั้นต้นที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่อาจจะปรับตัวดีขึ้นระหว่างสหรัฐและอิหร่านนั้นถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาน้ำมัน

ส่วนนักวิเคราะห์ทางเทคนิคระบุว่า ตลาดน้ำมันอาจจะปรับตัวลงต่อไป หลังจากที่อยู่ในภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไปทางเทคนิค

***ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก 2.4 ดอลล์ ข้อมูลศก.แกร่ง-ดอลล์อ่อนหนุนแรงซื้อ

ข่าวต่างประเทศ Saturday February 20, 2021 07:21 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง, การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และแนวโน้มที่สหรัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 2.4 ดอลลาร์ หรือ 0.14% ปิดที่ 1,777.4 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ยังคงร่วงลง 2.5% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ม.ค.

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 17.6 เซนต์ หรือ 0.65% ปิดที่ 27.254 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 18.4 ดอลลาร์ หรือ 1.44% ปิดที่ 1,293.1 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 20.40 ดอลลาร์ หรือ 1.31% ปิดที่ 2,369.20 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำได้แรงหนุนจากการที่นางเจเน็ต เยลเลน รมว.คลังสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีว่า สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐไม่ใช่เหตุผลที่จะปรับลดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ราคาทองคำเมื่อคืนนี้ยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.26% สู่ระดับ 90.3648 ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มีราคาถูกลงและมีความน่าดึงดูดมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น

นอกจากนี้ ราคาทองยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ โดยไอเอชเอส มาร์กิตซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 58.8 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 71 เดือน จากระดับ 58.7 ในเดือนม.ค. โดยดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ

ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 6.69 ล้านยูนิตในเดือนม.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าลดลง 1.5% สู่ระดับ 6.61 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับแรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ และการขาดแคลนสต็อกบ้านในตลาด และเมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 23.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว