สรุปประเด็นสำคัญในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของจีนวันนี้
คณะผู้นำจีนได้จัดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) หรือ ฉวนกั๋วเหรินต้า ชุดที่ 13 ครั้งที่ 3 ในวันนี้ โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้นำจีนคนอื่นๆ เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้น ณ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง ทั้งนี้ การประชุม NPC มีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22-28 พ.ค.
สำหรับรายงานที่รัฐบาลจีนได้ยื่นเสนอต่อที่ประชุม NPC เพื่อทำการพิจารณาในวันนี้ ประกอบไปด้วยประเด็นต่างๆ หลายประเด็นด้วยกัน ซึ่งได้แก่ :
-- จีนระงับการกำหนดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำปี 2563 และยืนยันที่จะเพิ่มการใช้จ่ายและการปล่อยกู้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
-- แม้เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวที่ติดลบในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่รัฐบาลจีนระบุว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าที่จะจ่ายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากชีวิตประชาชนเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง
--จีนวางแผนออกพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินหยวนวงเงิน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.41 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อระดมทุนสำหรับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
-- จีนกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อด้านผู้บริโภคหรือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สำหรับปี 2563 ที่ราวระดับ 3.5%
-- จีนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการรักษาเสถียรภาพการจ้างงานและสร้างความมั่นคงด้านการดำรงชีวิตของประชาชนในปีนี้ โดยตั้งเป้าที่จะสร้างงานใหม่ในเขตเมืองมากกว่า 9 ล้านตำแหน่ง
-- จีนจะสร้างเสถียรภาพด้านการค้าต่างประเทศต่อไป และเพิ่มบทบาทของเงินทุนต่างประเทศ รวมไปถึงการปรับลดรายการธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน (negative list) ลงอย่างมากด้วย
-- จีนจะยังคงปรับลดอัตราการขยายตัวของงบประมาณด้านกลาโหม ลงสู่ระดับ 6.6% ในปี 2563 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอัตราการขยายตัวของงบประมาณด้านการทหารของปีนี้ ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับ 7.5% ในปี 2562
-- จีนจะยกระดับการพัฒนาระบบสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นปรับปรุงระบบการรายงานโดยตรงและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ, เพิ่มการใช้จ่ายในด้านวัคซีน เวชภัณฑ์ และเทคโนโลยีการทดสอบที่รวดเร็ว, เพิ่มห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่, เสริมความแข็งแกร่งในการจัดหาวัสดุฉุกเฉิน และอื่นๆ
-- จีนวางแผนที่จะสนับสนุนการผลิตด้านเกษตรกรรม โดยจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมาตรฐานสูงอีก 5.33 ล้านเฮกตาร์ เพื่อให้มั่นใจว่าจีนจะสามารถจัดหาอาหารที่เพียงพอให้กับประชาชน 1.4 พันล้านคนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ
-- จีนจะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและมาตรฐานการใช้ชีวิตของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (HKSAR) และมาเก๊า โดยรัฐบาลจีนจะช่วยให้ฮ่องกงและมาเก๊าบูรณาการการพัฒนาของตนเองเข้ากับการพัฒนาโดยรวมของจีนได้ดีขึ้น และช่วยให้เขตบริหารพิเศษทั้งสองสามารถเติบโตและมีเสถียรภาพได้ในระยะยาว
-- กองกำลังติดอาวุธของจีนจะปกป้องอธิปไตยของประเทศ รวมถึงความมั่นคงและผลประโยชน์ที่มีต่อการพัฒนา โดยจะปฏิบัติตามคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และรับผิดชอบด้านการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
-- ทหารจีนจะยึดถือความเป็นผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เหนือกองทัพ ปฏิรูปการป้องกันประเทศและกองทัพ และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศ
-- จีนจะจัดตั้งเขตการค้าเสรีนำร่อง (FTZ) และเขตคลังสินค้าทัณฑ์บนแบบบูรณาการ (Integrated Bonded Area) แห่งใหม่ในพื้นที่ทางตอนกลางและทางตะวันตกของประเทศ
-- จีนจะเดินหน้าส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาของภาคเอกชน และสร้างความเชื่อมั่นว่าธุรกิจเอกชนจะสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตและการสนับสนุนด้านนโยบายได้อย่างเท่าเทียม
-- จีนจะเดินหน้าผลักดันแนวคิดริเริ่ม Internet Plus อย่างเต็มรูปแบบ และสร้างจุดแข็งสำหรับการแข่งขันในเศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับประเด็นฮ่องกงนั้น จีนเสนอกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ฮ่องกงต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติโดยเร็ว ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับย่อซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงเอง
กฎหมายใหม่ดังกล่าวจะให้อำนาจรัฐสภาของจีนในการจัดทำกรอบกฎหมาย และบังคับใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อป้องกันและลงโทษการกบฎ, การก่อการร้าย, การแบ่งแยกดินแดน และการแทรกแซงของต่างชาติ หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ
ทั้งนี้ นายหวัง เฉิน รองประธานคณะกรรมาธิการประจำสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ได้อธิบายเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวในที่ประชุม NPC ครั้งที่ 13 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 จนถึงวันที่ 28 พฤษภาคม
นายหวังกล่าวว่า นับตั้งแต่ฮ่องกงกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน จีนได้ใช้หลักการ หนึ่งประเทศ สองระบบ , ชาวฮ่องกงปกครองฮ่องกง และการให้อำนาจระดับสูงในการปกครองตนเอง
เอกสารของนายหวังระบุว่า หลักการ หนึ่งประเทศ สองระบบ ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในฮ่องกง
แต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในฮ่องกงได้กลายเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยระบุถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการท้าทายอย่างรุนแรงต่อหลักการ หนึ่งประเทศ สองระบบ , เป็นภัยต่อกฎหมาย และคุกคามอำนาจอธิปไตยของชาติ ตลอดจนผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและการพัฒนา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตามกฎหมายเพื่อป้องกัน, ยับยั้ง และลงโทษกิจกรรมเหล่านั้น
มาตรา 23 ของกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงกำหนดว่า ฮ่องกงจะออกกฎหมายของตนเองเพื่อห้ามการก่อกบฎ, การแยกตัว, การจลาจล, การโค่นล้มรัฐบาล, การจารกรรมความลับของรัฐบาล, การห้ามองค์กรหรือหน่วยงานด้านการเมืองต่างชาติจากการจัดกิจกรรมทางการเมืองในฮ่องกง และห้ามองค์กรหรือหน่วยงานทางการเมืองของฮ่องกงจากการสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรหรือหน่วยงานทางการเมืองของต่างชาติ
นับเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วหลังจากที่ฮ่องกงกลับมาอยู่ภายใต้จีน แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวยังไม่ถูกกำหนดขึ้น เนื่องจากการก่อวินาศกรรม และการขัดขวางของผู้ที่พยายามจะสร้างปัญหาในฮ่องกงและจีน
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของฮ่องกงในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องมีความพยายามในระดับรัฐเพื่อสร้างและปรับปรุงระบบกฎหมายและกลไกการบังคับใช้สำหรับฮ่องกงเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะที่ไร้การป้องกันในระยะยาวในด้านความมั่นคงของชาติ
กฎหมายนี้จะช่วยพัฒนาการสร้างสถาบันเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติตามรัฐธรรมนูญของจีนและกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง, ช่วยเสริมสร้างการทำงานเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ และสร้างความมั่นใจว่าการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามหลัก หนึ่งประเทศ สองระบบ