TFEX เพิ่มสินค้ายางปี 59
เหตุควบรวมกับ AFET ไม่ทันปีนี้
"ดร.รินใจ" เผย TFEX อาจควบรวม AFET ไม่ทันปี 2558 เหตุยังอยู่ในขั้นตอนลงพระปรมาภิไธย ทำให้เพิ่มสินค้ายางเข้ามาไม่ทัน เผยมีโบรกฯ จาก AFET เข้าเป็นสมาชิก TEAX อีก 3 ราย
ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX เปิดเผยว่า การควบรวมระหว่างตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) อาจเกิดขึ้นไม่ทันในปีนี้ เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธย และหากผ่านขั้นตอนดังกล่าวแล้วจะต้องให้เวลาตลาด AFET เตรียมตัวเคลียร์ตลาดอีกประมาณ 1 เดือน ก่อนจะเข้ามาซื้อขายในตลาด TFEX อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ จากเดิมที่เคยคาดว่าสินค้ายาง RSS3 จะเริ่มซื้อขายในเดือนพฤศจิกายนนี้ อาจจะไม่ได้เห็น เพราะอยู่ในขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธย หลังจากนั้นต้องให้เวลาตลาด AFET อีก 1 เดือนเพื่อเตรียมตัวปิดตลาด
หลังจากนำสินค้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) เข้าซื้อขายในตลาด TFEX แล้ว จากนั้นจะพิจารณาสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในตลาด AFET นำเข้ามาซื้อขายในตลาด TFEX เพิ่ม
ดร.รินใจ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีโบรกเกอร์จากฝั่ง AFET เข้ามาเป็นสมาชิกในตลาด TFEX อีก 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอ๊กโกรว์เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด, บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด และบริษัท อินฟินิตี้ เวลธ์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ซึ่งรายหลังจะเป็นโบรกเกอร์แบบ Full Licence ที่ซื้อขายสินค้าในตลาด TFEX ได้ทั้งหมด โดยทั้ง 3 บริษัทนี้จะเริ่มต้นให้บริการหลังจากยางแผ่นรมควันชั้น 3 เข้าซื้อขายในตลาด TFEX โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนรอลงพระปรมาภิไธย
โดยรายละเอียดของสัญญายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ที่จะซื้อขายในตลาด TFEX 1 บัญชี ซื้อขายได้ 10,000 สัญญา โดย 1 สัญญามีขนาด 5 ตัน และในสัญญาเดือนใกล้มากที่สุดจะซื้อขายได้ไม่เกิน 1,000 สัญญาต่อบัญชี โดยนักลงทุนที่ต้องการส่งมอบสินค้าจริงจะต้องระบุก่อนเทรด ส่วนนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายทั่วไปจะเป็นลักษณะการเก็งกำไรโดยไม่ต้องส่ง มอบของจริง
ด้านนายกรกฏ กิตติพล ผู้จัดการการตลาดต่างประเทศ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สินค้ายางแผ่นรมควันชั้น 3 (RSS3) ที่จะเข้าซื้อขายในตลาด TFEX คาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากตลาด AFET โดยบริษัทฯ มีโบรกเกอร์ล่วงหน้า คือ บริษัท แอ๊กโกรว์เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ซึ่งจะเข้ามาเป็นโบรกเกอร์ให้บริการซื้อขายสินค้าดังกล่าว รวมถึงเข้ามาร่วมซื้อขายในตลาดเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องด้วยเช่นกัน
ส่วนแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่เคยระบุไว้ว่าจะเกิดขึ้นในปี 2555 จนถึงปัจจุบันยังไม่มีแผนเข้าตลาดฯ และยังคงเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัว รวมถึงราคายางจะดีขึ้น ด้านตลาดหุ้นเป็นอีกสิ่งที่เป็นปัจจัยสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงต้องจับตาเช่นกัน
หากปัจจัยดังกล่าวดีขึ้นจะพิจารณานำบริษัทฯ เข้าตลาดฯ โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินที่จะระดมทุนเข้าตลาดฯ ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยเม็ดเงินที่ระดมทุนดังกล่าวจะนำไปซื้อเครื่องจักร และเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงจะนำไปทำธุรกิจปลายน้ำ
ด้านยอดขายของบริษัทฯ คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.28 แสนตัน จากเป้าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 4.5 แสนตัน โดยเป้าหมายที่ลดลงมาจากซัพพลายในตลาดลดลงจากภาวะราคายางและเศรษฐกิจตกต่ำ
ทั้งนี้ ยอดขายของบริษัทฯ เป็นสัดส่วนส่งออกถึง 90% โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดภายในประเทศอยู่ที่ 10% หรือเป็นอันดับ 3 ของประเทศ ซึ่งสัดส่วนประเภทยางที่ผลิตได้มากที่สุด คือยางแท่งอยู่ที่ 70-80% เนื่องจากประเภทยางดังกล่าวสามารถวัดคุณภาพได้ดีกว่าชนิดยางอื่นๆ--จบ?
ข่าวหุ้น (Th)
