เหตุปัจจัย "ราคายาง" ผันผวน
สถานการณ์ราคายางในช่วงที่ภาคใต้มีฝนตกน้ำท่วมหนักส่งผลกระทบทำให้ชาวสวนยางกรีดยางไม่ได้ ทำให้ราคายางในตลาดปรับตัวสูงถึง 65 บาทต่อกิโล ซึ่งก็เป็นไปตามหลัก "ดีมานด์-ซัพพลาย" ทั่วๆ ไป แต่อย่างน้อยก็ทำให้ "อำนวย ปะติเส" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่โดดมารับผิดชอบดูแลราคายางแบบเต็มตัว มีโอกาสได้หยุดพักหายใจหายคอพอได้ชุ่มปอด
ฝนตกน้ำท่วมหนักทำให้ผู้นำชาวสวนยางจะมาประท้วงรัฐบาลต้องพับแผนเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
แต่หลังจากฝนเริ่มหยุดตก คนเริ่มออกไปกรีดยางได้เหมือนเดิมหลังหยุดมาหลายวัน ทำให้มีปริมาณยางเริ่มออกสู่ตลาดมากขึ้น จึงส่งผลให้ราคายางในพื้นที่ภาคใต้ดิ่งเหวลงเกือบๆ จะ 3 โล 100 เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ฉะนั้นการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคายางจึงเป็นไปตามหลักของ "ดีมานด์และซัพพลาย" ไม่ได้เป็นฝีมือการเจรจาหรือมาตรการใดๆ ของรัฐบาลอย่างที่หลายคนเข้าใจ มิเช่นนั้นราคาคงไม่ร่วงลงมาหลังจากที่ฝนหยุดตก
อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัว "ฉุด" ให้ราคายางดิ่งเหวเกิดจากข้าราชการที่ดูแลเรื่องยางพารา "เกียร์ว่าง" เหตุผลหนึ่งเพราะข้าราชการเหล่านี้ไม่แน่ใจอนาคตของตัวเองที่จะมีการรวมองค์กรสวนยาง 3 องค์กร เข้ามาเป็น "องค์กรเดียวกัน" ยิ่งในห้วงที่ "อำนวย ปะติเส" เข้ามาเอาจริงเอาจังกับ เรื่องนี้มาก ต่างจากยุค "ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา" รัฐมนตรีว่าการที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าไหร่ เห็นว่าควรชะลอออกไปก่อน
ประกอบกับก่อนหน้านี้ผู้นำชาวสวนยางในจังหวัดตรังก็ออกมาเปิดเผยว่า สาเหตุที่ราคายางตกต่ำเป็นเพราะข้าราชการในพื้นที่เกียร์ว่าง เพราะรู้ว่ารัฐบาล "บิ๊กตู่" อยู่ไม่นาน หลังร่างรัฐธรรมนูญเสร็จประกาศใช้ต้องเร่งจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ที่สำคัญบรรดาข้าราชการเหล่านี้เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยคงได้รับชัยชนะกลับมาตั้งรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอน ทุกคนจึงปล่อย "เกียร์ว่าง" ไม่ยอมทำอะไรที่จะออกมาเป็น "ผลลบ" ต่อพรรคเพื่อไทย นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง
ทั้งหลายทั้งปวงนี้คือเหตุปัจจัยที่ทำให้ราคายางผันผวนพลิกไปพลิกมา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด
23/1/2015
