ผู้เขียน หัวข้อ: เกษตรฯสั่งล้มขายยางแสนตัน  (อ่าน 1017 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 84444
    • ดูรายละเอียด
เกษตรฯสั่งล้มขายยางแสนตัน
« เมื่อ: ตุลาคม 01, 2014, 02:48:37 PM »

วันที่ 1 ตุลาคม 2557 11:32
เกษตรฯสั่งล้มขายยางแสนตัน




เกษตรฯสั่งล้มขายยางแสนตัน สอบสต็อกชี้'เน่าเสีย' 5พันตัน เตรียมเรียกค่าปรับจากเอกชนสิงคโปร์6.6ดอลลาร์/ตัน/เดือน




 
"ปีติพงศ์"สั่งเช็คสต็อกยาง 2.1 แสนตัน พบกว่า 5,000 ตัน "เปื้อนเชื้อรา เน่าเสีย" ขณะที่สัญญาซื้อขายยาง 1 แสนตันให้กับเอกชนสิงคโปร์"วืด" ทำผิดสัญญาไม่สามารถจ่ายเงินค่ายางได้


นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าได้สั่งการให้กรมวิชาการเกษตร เช็คสต็อกยางพารา ของรัฐบาล 2.1 แสนตัน ในโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางวงเงินกว่า 20,000 ล้านบาท โดยกรมวิชาการเกษตรต้องดำเนินการเช็คว่ายางพาราของรัฐ มีอยู่จริงหรือไม่ มีเหลืออยู่ในโกดังไหน จำนวนเท่าไหร่ และมีการคงอยู่หรือเน่าเสียตามที่มีข่าวลือหรือไม่ โดยต้องตรวจสอบก่อนตัดสินใจดำเนินการแก้ไขปัญหายางพาราในสต็อก


?สัปดาห์หน้าจะเรียกตัวเลขสต็อกยางพาราจากกรมวิชาการเกษตรมาดู ว่ามียางพาราอยู่จริงเท่าไหร่ อยู่ในสภาพไหน ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป?นายปีติพงศ์ กล่าว


แหล่งข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการเช็คยางพาราในสต็อกเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งหมดปริมาณยังอยู่ครบเต็มจำนวน แต่คุณภาพจากการสุ่มตรวจผลปรากฏว่า 24% ของยางพาราทั้งหมด 2.1 แสนตัน หรือประมาณ 5,000 ตัน เป็นยางแผ่นรมควัน ที่มีปนเปื้อนเชื้อราและเน่าเสีย แม้ว่าจะยังใช้การได้อยู่ โดยนำไปทำเป็นยางแท่ง แต่คุณภาพและราคาจะลดลง หรือราคาจะปรับลดลงมากกว่า 12% ของราคายางแผ่นดิบรมควัน


?ต้องยอมรับว่าคุณภาพของยางพาราต้องลดลงแน่นอน เพราะยางสต็อกรัฐบาลเก็บไว้นาน 2 ปีแล้ว แต่ยืนยันปริมาณยางพารายังคงอยู่ครบจำนวน การตรวจสอบครั้งนี้ไม่ได้เป็นการตรวจสอบครั้งแรก แต่เป็นการตรวจสอบ หลังจากที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบไปแล้ว แต่ผลที่จะกระทบกับสต็อกยางของรัฐบาล หลังจากตรวจพบการเน่าเสีย คือเรื่องของการถูกกดราคาขายเกิดขึ้นแน่นอน? แหล่งข่าว กล่าว


สำหรับรายการซื้อขายยางพาราระหว่างองค์การสวนยาง (อสย.) และบริษัทเอกชนสิงคโปร์ จำนวน 1 แสนตัน โดยราคายางแผ่นดิบรมควันกิโลกรัม(กก.)ละ 62 บาทและยางแท่งราคากก.ละ 54 บาทนั้น ขณะนี้เลยเวลาการจ่ายเงินและทาง อสย.จึงไม่ได้มีการส่งมอบยาง ถือว่าผู้ซื้อได้กระทำผิดสัญญา การซื้อขายยางพารากับรัฐบาลไทย ในอนาคตอาจจะต้องมีการฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ซื้อรับผิดชอบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำสัญญาในครั้งนั้น


ส่วนการดำเนินคดีหากคู่กรณีผิดสัญญา ในหนังสือสัญญากำหนดไว้ว่า หากพ้นระยะเวลา 90 วันแล้ว ผู้ซื้อหรือเอกชนสิงคโปร์จะต้องจ่ายเงินค่าปรับ 6.6 ดอลลาร์ต่อตันต่อเดือน แม้แต่รัฐบาลมีการขายยางพาราตามสัญญาดังกล่าว และเกิดผลขาดทุน ในส่วนที่เกิดความเสียหายต่อภาครัฐ หรือ ราคาขายต่ำกว่าราคาที่ทำสัญญาในครั้งก่อน บริษัทเอกชนของสิงคโปร์ที่ทำสัญญาซื้อขายยางพาราสต็อกรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน


ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่าสต็อกยางพาราของรัฐบาล 2.1 แสนตัน ยังไม่มีแผนที่จะขายออกมาสู่ตลาด โดยจะขายออกมาในช่วงที่ราคาดีเท่านั้น เพื่อให้การขายยางในสต็อกของรัฐบาล เป็นการขายแล้วสามารถดึงราคาตลาดขึ้นได้


ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุด้วยว่าจะหาตลาดใหม่ส่งออกยางและจะทำตลาดให้มีคำสั่งซื้อพิเศษ ยางจากไทย เพื่อให้สามารถส่งออกยางพาราในประเทศได้จำนวนมากและขายได้ในระดับราคาที่เหมาะสม


?สต็อกยางพารา 2.1 แสนตัน ถ้าราคายางยังไม่ดีจะไม่ขายการมีสต็อกอยู่เพียง 2 แสนตัน ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะไทยผลิตยางพาราถึงปีละกว่า 4 ล้านตัน การขายยางช่วงเวลาที่เหมาะสม อาจเป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) หรือไม่ใช่ก็ได้ ถ้าไม่ใช่จีทูจีก็ต้องให้ผู้ที่จะซื้อเปิดแอลซีมาเพื่อให้เห็นว่ามีเงินจริงจะได้ไม่มีปัญหา? ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุ


แหล่งข่าว กล่าวว่าการที่อสย.ไม่สามารถขายยางพารารอบนี้ได้ เนื่องจากเอกชนที่มาทำสัญญารับซื้อยางนั้นไม่ได้เป็นผู้ซื้อยางพาราโดยตรงเป็นเพียงโบรเกอร์รายหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญบริษัทสิงคโปร์ไม่สามารถเปิดแอล/ซี การซื้อครั้งนี้ได้


รายงานข่าวจากสถาบันวิจัยยาง แจ้งว่า ราคายางตลาดกลางยางพาราสงขลา ยางแผ่นดิบแตะระดับ 46.22 บาท/กก. ปรับตัวสูงขึ้น 0.37 บาทต่อกก.และยางแผ่นรมควันแตะระดับ 49.33 บาทต่อกก. ปรับตัวสูงขึ้น 0.33 บาทต่อกก. ในทิศทางเดียวกับตลาดล่วงหน้าโตเกียว โดยมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เงินบาทอ่อนค่า และปริมาณอุปทานยางออกสู่ตลาดค่อนข้างน้อย


ขณะที่สต็อกยางจีน (26 ก.ย. 2557) ลดลงแตะ 162,649 ตัน เช่นเดียวกับสต็อกยาง ณ ท่าเรือชิงเต่า (1 ก.ย. 2557) ลดลงเหลือ 217,400 ตัน ส่วนปัจจัยลบมาจากโดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า นักลงทุนวิตกกังวลต่อเหตุการณ์ประท้วงที่รุนแรงในฮ่องกง อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน