ยุทธศาสตร์ยางไทยเดี้ยงต้นทุนสูงเปิดเออีซีแย่แน่
โพสต์ทูเดย์ นักธุรกิจอัดยุทธศาสตร์ยางไทยไร้ประสิทธิภาพ เปิดเออีซีแย่แน่ต้นทุนแพงสุด เชื่อปีนี้ราคาระดับ100 บาท
นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมน้ำยางข้นไทย เปิดเผยในการเสวนาเรื่องการจัดทัพอุตสาหกรรมยางไทยสู้ศึกใหญ่ตลาดเสรีอาเซียน ว่ายุทธศาสตร์การพัฒนายางพาราของไทยตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ผลที่ตามมาทำให้เป้าหมายการส่งเสริมการใช้ยางในเป็นวัตถุดิบในประเทศจาก 10% เป็น 15% ของผลผลิตยางในประเทศปีละ 4 ล้านตันจึงไม่สามารถทำได้ เพราะนโยบายไม่ต่อเนื่องและรัฐบาลไม่มีความจริงจังในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ประเทศ
นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมน้ำยางข้นไทยกล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อรัฐเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) คือ 1.การสร้างตลาดซื้อขายยางพาราเป็นตลาดกลาง 2.การพัฒนาตลาดซื้อขายยางจริง แบบตลาดหุ้น และ 3.การซื้อขายยางผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยงของเกษตรกรซึ่งหากทำได้ จะทำให้ต่อไปไทยจะเป็นตลาดที่ทั่วโลกใช้อ้างอิงราคายาง แทนโตคอมและเซี่ยงไฮ้
นายวรเทพ กล่าวอีกว่า การส่งเสริมพัฒนายางไทยต้องทำพร้อมกันทั้ง 3 ด้าน
ต้นน้ำต้องลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้แข่งกับเพื่อนบ้านได้มิฉะนั้นเมื่อเปิดเออีซีเอกชนอาจไปซื้อยางเพื่อนบ้านส่งออกแทนเพราะ
ยางไทยราคาสูงเกินไป รัฐบาลต้องการเลิกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการส่งออกยาง ซึ่งประเทศอื่นไม่มีส่งเสริมเงินทุน ส่งเสริมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เอื้อต่อการส่งออกเพื่อลดต้นทุนแฝง
ทั้งนี้ ในปี 2556 ไทยมีการส่งออกยาง5 แสนล้านบาท เป็นการส่งออกยางแผ่น56% มูลค่า ประมาณ 2.4 แสนล้านบาทส่งออกผลิตภัณฑ์ยาง 2.6 แสนล้านบาท
นายบุญส่ง นับทอง นายกสมาพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการสำรวจสต๊อกยางพาราพบว่ามีสต๊อกอยู่5 แสนตัน เป็นของรัฐ 2 แสนตัน ของเอกชน 3 แสนตัน และสต๊อกทั่วโลก 1 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตทั่วโลกปีละ 13 ล้านตันความต้องการใช้ปีละ 11-12 ล้านตัน จึงคาดการณ์กันว่าจนถึงปีหน้าราคาจะอยู่ระหว่าง 70-100 บาท โอกาสจะขึ้นไปที่120 บาทคงไม่สามารถทำได้ เกษตรกรจึงต้องพิจารณาว่าจะปรับตัวอย่างไร เพราะต้นทุนปัจจุบันอยู่ที่ 64 บาทต่อกิโลกรัม Souce: โพสต์ทูเดย์