ผู้เขียน หัวข้อ: จับตา "Trade war รอบใหม่" ย้ายฐานผลิตออกจากจีน ไทยลุ้นรับทุน 7 อุตสาหกรรม  (อ่าน 84 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 84897
    • ดูรายละเอียด
จับตา "Trade war รอบใหม่" ย้ายฐานผลิตออกจากจีน ไทยลุ้นรับทุน 7 อุตสาหกรรม

เรื่องราวโดย Thansettakij ? 7 ชม. ? อ่าน 1 นาที

จับตา "Trade war รอบใหม่" ย้ายฐานผลิตออกจากจีน ไทยลุ้นรับทุน 7 อุตสาหกรรม

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 กำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นนโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนที่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อระบบการค้าโลก

ด้วยข้อเสนอการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราสูงถึง 60% พร้อมกับการเก็บภาษีเพิ่มจากประเทศอื่นๆ อีก 10-20% ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการปรับโครงสร้างห่วงโซ่การผลิตโลกอีกครั้ง

บทเรียนจาก Trade War รอบแรก
ย้อนกลับไปในปี 2561 เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรา 301 (Unfair Trade Practice Section 301) เพื่อขึ้นภาษีสินค้าจีน ด้วยเป้าหมายลดการขาดดุลการค้า แม้ปัจจุบันสหรัฐฯ จะยังคงขาดดุลการค้ากับจีนสูงถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2566 หรือคิดเป็น 26% ของยอดขาดดุลการค้ารวม แต่โครงสร้างการค้าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือการผงาดขึ้นมาของเม็กซิโกในฐานะผู้ส่งออกอันดับ 1 ไปยังสหรัฐฯ แทนที่จีน ขณะที่อาเซียนก็ได้กลายเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของจีนแทนที่สหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของห่วงโซ่การผลิตโลกที่มีการใช้ประเทศที่สามเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกต่อไปยังตลาดปลายทาง

ผลกระทบที่แตกต่างจากอัตราภาษีที่ไม่เท่ากัน
การวิเคราะห์ผลกระทบจากการขึ้นภาษีในรอบแรกแสดงให้เห็นภาพที่น่าสนใจ:

กลุ่มที่ 1: สินค้าที่ถูกเก็บภาษี 25%
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เช่น HDDs ยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์โทรศัพท์ ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด มูลค่านำเข้าลดลงจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2560 เหลือเพียง 1.3 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2566

กลุ่มที่ 2: สินค้าที่ถูกเก็บภาษี 7.5%
เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และคอมพิวเตอร์ ได้รับผลกระทบปานกลาง โดยมูลค่านำเข้าลดลงเล็กน้อยจาก 1.0 แสนล้านดอลลาร์เหลือ 0.9 แสนล้านดอลลาร์

กลุ่มที่ 3: สินค้าที่ยังไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เสื้อผ้า และรองเท้า กลับมีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นจาก 1.67 แสนล้านดอลลาร์เป็น 2.12 แสนล้านดอลลาร์
การเตรียมพร้อมรับมือกับ Trade War รอบใหม่
ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร แนวโน้มการกีดกันทางการค้ากับจีนมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไป แต่อาจแตกต่างกันในรายละเอียด:

พรรคเดโมแครต มุ่งเน้นการขึ้นภาษีแบบเฉพาะเจาะจงในสินค้ายุทธศาสตร์ พรรครีพับลิกัน วางแผนขึ้นภาษีแบบครอบคลุม พร้อมขู่เก็บภาษีเพิ่ม 100% สำหรับประเทศที่ถอนตัวจากการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ

โอกาสของไทยในการปรับตัวห่วงโซ่การผลิตโลก
สำหรับประเทศไทย คาดว่าจะได้รับอานิสงส์บางส่วนจากการย้ายฐานการผลิตรอบใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนพื้นฐานอยู่แล้ว ได้แก่:

เซมิคอนดักเตอร์
โซลาร์เซลล์
ชิ้นส่วนกล้องดิจิทัล
ถุงมือการแพทย์และถุงมือยาง
อุปกรณ์โทรทัศน์
อุตสาหกรรม PCA
อุตสาหกรรมของเล่น
อย่างไรก็ตาม เวียดนามมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์มากกว่าในกลุ่มสินค้ามูลค่าเพิ่มอย่างโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน และเฟอร์นิเจอร์

ขณะที่เม็กซิโกจะได้ประโยชน์ในกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิต

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความท้าทายในอนาคต
แม้นโยบายกีดกันทางการค้าอาจสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองและเป็นเครื่องมือต่อรองทางการค้า แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ อาจรุนแรงกว่าที่คาด โดยเฉพาะในประเด็น:

ความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐฯ จากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น
การชะลอตัวของการค้าโลกจากความไม่แน่นอนทางนโยบาย
ความเป็นไปได้ของการตอบโต้ด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศอื่นๆ

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกที่อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว
ในท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่การผลิตโลกจาก Trade War รอบใหม่ อาจเป็นโอกาสสำหรับบางประเทศ แต่ก็เป็นความท้าทายสำหรับระบบการค้าโลกโดยรวม ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนและวางแผนการปรับตัวในระยะยาว เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในบริบทการค้าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง


เรียบเรียงข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 29, 2024, 07:41:05 PM โดย Rakayang.Com »