« เมื่อ: สิงหาคม 21, 2024, 08:42:54 AM »
4 เดือนอันตราย หุ้นโลกผันผวน รับเลือกตั้งสหรัฐฯ โค้งสุดท้าย หุ้นเติบโต สาธารณูปโภค-ทองคำ ทางรอดเรื่องราวโดย Thairath Online ? 23 ชม. ? อ่าน 2 นาที4 เดือนอันตราย หุ้นโลกผันผวน รับเลือกตั้งสหรัฐฯ โค้งสุดท้าย หุ้นเติบโต สาธารณูปโภค-ทองคำ ทางรอด4 เดือนอันตราย หุ้นโลกผันผวน รับเลือกตั้งสหรัฐฯ โค้งสุดท้าย หุ้นเติบโต สาธารณูปโภค-ทองคำ ทางรอดตลาดการค้าและการลงทุนยังได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเลือกตั้งใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. นี้ ซึ่งจะชี้ทิศทางเศรษฐกิจโลกว่าความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะทวีความรุนแรงขึ้นจนกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงไทย หากทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ สอดคล้องกับการประเมินของ SCB CIO ที่มองว่าตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯนายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเดือน ส.ค. 2567 แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่ส่งสัญญาณเติบโตชะลอตัวลงจากตลาดแรงงานและภาคการผลิตที่อ่อนตัวแรงทั้งนี้ ภาพรวมตลาดการเงินช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีแนวโน้มเผชิญความผันผวนสูงขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และหุ้นกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) โดยเฉพาะยานยนต์และสินค้าหรูที่ปรับฐานรุนแรงจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และการให้ประมาณการการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต (Guidance) บางบริษัทของหุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) / Cyclical ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาดก่อนหน้านี้เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงของสหรัฐฯ และตลาดแรงงานที่อ่อนตัวลงแรง สร้างความกังวลต่อโอกาสของการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น (โอกาสเกิดประมาณ 30%) นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนกลุ่มหุ้นลงทุน (Sector Rotation) ไปยังกลุ่ม Defensive เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่าความผันผวนของตลาดหุ้นโลกจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากนี้ เนื่องจากเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีนโยบายการหาเสียงต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อ Sentiment ของตลาดฯ โดยจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ดัชนี VIX จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติบนผลตอบแทนการลงทุนใน S&P500 มีแนวโน้มชะลอลงเมื่อเข้าสู่เดือน ส.ค. และเดือน ก.ย.รักษามูลค่าพอร์ตด้วยหุ้นกลุ่มเติบโตและหุ้น Defensiveเพื่อรับความผันผวนของตลาดในช่วงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้น มองว่า Sector rotation จะยังเกิดขึ้นต่อไป โดยแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ Barbell ด้วยการลงทุนในหุ้น Quality Growth ซึ่งเป็นหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูง ที่มีงบดุลแข็งแกร่ง ยอดขายและกำไรมีการเติบโตแบบยั่งยืน เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ผสมผสานการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive ที่กำไรมีความทนทานต่อสภาวะตลาดที่ผันผวน เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) และกลุ่มสินค้าจำเป็น (Consumer Staples) ที่อาจทำผลงานได้ดีกว่าตลาดในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับลดลงอย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง นอกจากนี้ หลายบริษัทในหุ้นขนาดเล็กอาจมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากปริมาณหุ้นกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ที่กำลังจะครบกำหนดชำระหลังปี 2567 เป็นต้นไปทำกำไรระยะสั้นด้วยหุ้นเวียดนามรับเลือกตั้งสหรัฐฯแนวทางการจัดพอร์ตลงทุนนั้น พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ลงทุนระยะยาว 1 ปีขึ้นไป ควรกระจายลงทุนในสินทรัพย์เพื่อตอบโจทย์ 3 วัตถุประสงค์หลัก ได้แก่เพื่อสร้างกระแสเงินให้พอร์ตมีเสถียรภาพ เน้นหุ้นกู้ Investment Grade อายุเฉลี่ยประมาณ 2-4 ปี ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารที่สูง และกรณีเป็นผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (UHNW) สามารถเลือกลงทุนผ่านตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาดได้ด้วย โดยที่นักลงทุนสามารถเลือกคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น มีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ลำดับแรกและมีหลักประกัน เป็นต้นเพื่อสร้างการเติบโต เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบ Barbell Strategy โดยมีสัดส่วนหุ้น Quality Growth ผสมผสานกับหุ้นกลุ่ม Defensiveเพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต ลงทุนในทองคำ ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความเสี่ยงความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้เป็นอย่างดีสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะนำแบ่งเงินลงทุนบางส่วนตามความเสี่ยงที่รับได้ ลงทุนระยะสั้นในพอร์ตลงทุนส่วนเสริม (Opportunistic Portfolio) ด้วย โดยแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม เนื่องจากดัชนีฯ มีแนวโน้มได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง GDP ไตรมาส 2/2567 ขยายตัว 6.9% สูงกว่าไตรมาส 1/2567 ที่ขยายตัว 5.9% สินเชื่อช่วงครึ่งปีแรกขยายตัว 6.0% ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เดือน ก.ค. ขยายตัวอยู่ที่ระดับ 54.7 การส่งออกเพิ่มขึ้น 19.7% ภาคอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว ครึ่งปีแรกยอดการโอนคอนโดเพิ่มขึ้น 107% Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยราคากำไรต่อหุ้นในอนาคต (12M Fwd P/E) อยู่ที่ 10.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี และผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์สถาบันต่างๆ (Consensus) คาดว่าการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของดัชนีฯ ในปีนี้จะอยู่ที่ 32% เทียบปีก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2024, 08:47:03 AM โดย Rakayang.Com »
บันทึกการเข้า