เดินหน้าปฏิรูปแบงก์รัฐ
จ่อตั้งคณะกรรมการผุดนโยบายทั้งระบบ
คลังเดินหน้าปฏิรูปธนาคารรัฐ เล็งตั้งคณะกรรมการกลางกำหนดกรอบนโยบายธนาคารรัฐทั้งระบบ ระบุต้องเน้นเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน-เปิดทางชาวบ้านเข้าถึงแหล่งเงิน พร้อมปฏิรูปเกณฑ์ตรวจสอบใหม่ ย้ำต้องผ่อนปรนกว่าแบงก์พาณิชย์ เหตุแบงก์รัฐต้องแบกรับลูกค้าความเสี่ยงสูงกว่า
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางและรายละเอียดต่างๆ โดยเห็นว่าจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการกลางขึ้น เพื่อกำหนดแนวนโยบายเกี่ยวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้งระบบโดยเฉพาะ รวมถึงพิจารณาปรับบทบาทของแต่ละสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้เป็นไปตามพันธกิจของแต่ละแห่ง และที่สำคัญจะต้องไม่ไปดำเนินงานแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ เพราะสิ่งสำคัญของการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐคือ เข้าไปเติมเต็มช่องว่างทางการเงินที่สถาบันการเงินเอกชนเข้าไปให้บริการไม่ทั่วถึง
?ต้องมีคณะกรรมการกลางขึ้นมา เพื่อกำหนดนโยบายของธนาคารรัฐเป็นหลัก เพราะ สศค.เสนอว่าควรมีกรอบนโยบายกลางเพื่อดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากที่ผ่านมาจะค่อนข้างกระจัดกระจายไม่เป็นระบบ อีกทั้งเพื่อพิจารณาปรับทบทวนบทบาทของธนาคารรัฐแต่ละแห่ง ให้ดำเนินงานเป็นไปตามพันธกิจในการก่อตั้งแบงก์แต่ละแห่ง สิ่งสำคัญคือต้องไม่เข้าไปดำเนินธุรกิจโดยแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ แต่ต้องดำเนินงานเพื่อเติมเต็มช่วงว่างและทำให้ประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารพาณิชย์ได้มีโอกาสทางการเงิน? นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย กล่าวต่อว่า นอกจากคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาจะดูแลวางกรอบแนวนโยบายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแล้ว จะดำเนินการปฏิรูปเพื่อกำกับตรวจสอบใหม่ ซึ่งจะใช้เกณฑ์ในการกำกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่แตกต่างจากการเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เห็นว่าเกณฑ์ที่จะใช้ในการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น จะต้องผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ที่ใช้ตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ ทั้งในเรื่องระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส เรโช) ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เป็นต้น เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทางการเงินกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากกว่าลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ เพราะถือว่าลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทางธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธและไม่ต้องการ
?เราจะมีการปฏิรูปการกำกับตรวจสอบธนาคารรัฐใหม่ โดยต้องเป็นเกณฑ์ที่ต่างจากเกณฑ์ของ ธปท. ที่ใช้ตรวจสอบแบงก์พาณิชย์ และต้องมีการผ่อนปรนเพื่อให้เหมาะสมกับส???าพที่ควรจะเป็นให้มากที่สุด เพราะแบงก์รัฐมีกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างเสี่ยงที่แบงก์พาณิชย์ไม่ต้องการแล้ว ดังนั้น จะใช้เกณฑ์การวัดทั้งบีไอเอส เรโช หรือระดับเอ็นพีแอลที่สูงๆ แบงก์รัฐคงจะลำบาก จึงต้องผ่อนปรนบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับผ่อนจนมากเกินไป? นายสมชัย กล่าว
นอกจากนั้นในระยะปานกลางถึงระยะยาว ก็จะมีการออก พ.ร.บ.เพื่อกำกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐโดยเฉพาะ ทั้งนี้ มั่นใจว่าหากสามารถปฏิรูปสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐได้ตามแผนที่ได้วางเอาไว้ อนาคตธนาคารของรัฐก็จะสามารถยืนบนขาของตัวเองได้ และ???าครัฐก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่เงินเพิ่มทุนให้มากนัก เนื่องจากแต่ละธนาคารจะมีความเข้มแข็งด้วยตัวเอง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ชี้ให้เห็นว่าตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโ???คเดือน ส.ค. อยู่ที่ระดับ 79.3 ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ลดลง 5 เดือนติดต่อกัน จากปัจจัยดังกล่าวประกอบกับประชาชนกังวลค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้ลดปริมาณซื้อสินค้าลง จึงเตรียมปรับจีดีพีใหม่ จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4-4.5% เหลือ 3.5-4%
นอกจากนี้ ได้ประเมินการชุมนุมของชาวสวนยางหากรุนแรงและยืดเยื้อนาน 1 เดือนขึ้นไปอาจสร้างความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจ 10,000 ล้านบาท หรือกระทบจีดีพี 0.1% ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ (Gold Price Sentiment Index) ในเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 โดยค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 63.99 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือน ส.ค. 10.64 จุด หรือ 19.94% สะท้อนทัศนคติเชิงบวกของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อราคาทองคำในประเทศเดือน ก.ย. ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น มาจากการชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ถ้ามีการปรับลดจริงอาจจะทำให้ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากแรงขาย จากความกังวลต่อการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
วันที่ 7/09/2556 เวลา 10:07 น.
