ผู้เขียน หัวข้อ: STA คงเป้าขายยางปีนี้ทรงตัว 1.2 ล้านตัน,กำไรขั้นต้น-ราคาต่ำกว่าปีก่อน  (อ่าน 842 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 86788
    • ดูรายละเอียด
STA คงเป้าขายยางปีนี้ทรงตัว 1.2 ล้านตัน,กำไรขั้นต้น-ราคาต่ำกว่าปีก่อน

บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี(STA)ยัง คงเป้าหมายปริมาณการขายยางพาราในปีนี้ที่  1.2 ล้านตันเท่ากับปีก่อน แม้ในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะพลาดเป้าหมายหลังรัฐเข้าแทรกแซงราคายางพาราให้สูง กว่าราคาตลาด  ส่งผลให้บริษัทขาดวัตถุดิบ แต่มองว่าปริมาณการขายยางพาราจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังตามการเก็บสต็อก เพิ่มขึ้นของผู้ใช้
 
 
 
อย่างไรก็ตาม ราคายางพาราเฉลี่ยทั้งปีนี้มองว่าจะต่ำกว่าปีก่อน เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและราคาน้ำมันปรับลดลง ขณะที่บริษัทยังคงเดินหน้าขยายโรงงานแห่งใหม่ให้แล้วเสร็จตามแผน แหล่งข่าวจาก STA เปิดเผยกับ?อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายปริมาณการขายยางพาราในปีนี้ที่ 1.2 ล้านตัน เท่ากับปริมาณในปีก่อน แม้ว่าครึ่งปีแรกปริมาณการขายทำได้เพียง 269,000 ตัน ต่ำกว่าปริมาณการขายเฉลี่ยปกติในช่วงไตรมาสแรกที่ 300,000 ตัน เนื่องจากมีปัจจัยลบจากการแทรกแซงราคายางของภาครัฐที่ 60 บาท/กก.ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 40 บาท/กก.ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารานำผลผลิตไปขายให้กับรัฐบาลเป็นจำนวน มาก  จนทำให้วัตถุดิบของบริษัทมีไม่เพียงพอที่จะผลิตให้ได้ตามเป้าหมาย

"ปริมาณการขายยางครึ่งปีแรกไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะว่าไตรมาส 1 ที่ผ่านมา  ขายได้แค่ 269,000 ตัน ต่ำกว่าปกติที่จะขายได้ 300,000 ตัน เพราะว่ารัฐเข้ามาแทรกแซงราคารับซื้อที่ 60 บาทต่อกิโลกรัม แต่ราคาที่ขายจริงอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม ถ้าเราไปซื้อตามราคาที่รัฐรับซื้อนั้นต้นทุนเราก็สูง ทำให้เราจะควบคุมมาร์จิ้นไม่ได้ ซึ่งทำให้วัตถุดิบยางที่เรานำมาผลิตลดลง"แหล่งข่าว  กล่าว

สำหรับในไตรมาส 2/58 บริษัทคาดว่าปริมาณการขายยางพาราจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/58 ปัจจัยหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ทำให้ปริมาณการส่งออกยางพาราลดลง เนื่องจากจีนเป็นผู้บริโภคยางพารารายใหญ่ที่สุดในโลกในสัดส่วน 38% อีกทั้งปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตยางให้น้อยลง ด้วย  ส่งผลให้ปริมาณการขายยางพาราของบริษัทลดลงตาม

อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้ปริมาณการขายยางพาราของบริษัทน่าจะดีขึ้น มากกว่าครึ่งปีแรก ปัจจัยหนุนมาจากผู้ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบจะหันมาเก็บสต็อกเพิ่มมากขึ้นใน ช่วงไตรมาส  3/58 โดยขณะนี้สต๊อกยางพาราในเมืองชิงเต่าของจีนลดลงเหลือ 1.3 แสนตัน  จากสิ้นปีก่อนที่ 3.5 แสนตัน ทำให้คาดว่าต้องมีการตุนสต๊อกเพิ่ม ประกอบกับ มีลูกค้าบางรายเข้าไปเปิดสถานะขาย(short)ยางพาราไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้ต้องซื้อยางพาราคืนที่ทำการ short ไว้
ขณะที่ในช่วงในไตรมาส 4 ของทุกปีนั้น จะเป็นช่วงพีคที่จะมีปริมาณการขายยางมากที่สุด เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อยางพาราเก็บเป็นสต๊อกไว้จำนวนมาก เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งในเดือนก.พ.-พ.ค.ของทุกปี

"ไตรมาส 2 นี้ก็คาดว่ายอดขายยางพาราก็คงจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1 เพราะจีนที่เป็นผู้บริโภคยางรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ 38% เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว  ทำให้การนำเข้ายังไม่มาก และเจอภัยแล้งอีก ทำให้ผลผลิตยางลดลง  แต่ปริมาณการขายยางในช่วงปีครึ่งหลังน่าจะ Pick Up ขึ้นมา  ซึ่งครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ผลผลิตออกมามาก และจะมีออเดอร์ซื้อยางจากลูกค้าต่างประเทศเข้ามาเพื่อสต๊อกไว้"แหล่งข่าว กล่าว

แหล่งข่าว กล่าวว่า บริษัทประเมินราคาขายยางพาราเฉลี่ยในตลาดโลกในปีนี้ ยางแท่งเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1.50 เหรียญสหรัฐ/กก.โดยช่วง 6 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 1.47  เหรียญสหรัฐ/กก.ต่ำกว่าเฉลี่ยทั้งปีก่อนที่ราว 1.6 เหรียญสหรัฐ/กก.  ส่วนราคายางแผ่นปีนี้จะอยู่ระดับไม่ต่ำกว่า 1.5 เหรียญสหรัฐ/กก.เช่นเดียวกัน  ซึ่งช่วง 6 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 1.76 เหรียญสหรัฐ/กก.จากราคาเฉลี่ยปี 57 ที่ 1.95  เหรียญสหรัฐ/กก.

สาเหตุที่ราคาขายยางพาราแท่งและยาพาราแผ่นในตลาดโลกในปีนี้ลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวขึ้นมาก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)เองก็ปรับลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ โลก(จีดีพี)  ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ยางพารา ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงมาตั้งแต่ช่วงปีก่อนจนถึงปัจจุบันกระทบ ต่อราคายางให้ลดลงด้วยเช่นกัน

แหล่งข่าว กล่าวว่า ราคาขายยางพาราในตลาดโลกที่ลดลงส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่บริษัทก็ได้ใช้แนวทางบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและการผลิตอย่างมี ประสิทธิภาพ  ทำให้ประเมินว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้จะอยู่ในช่วง 5-7% จาก 6.1%  ในปีที่ผ่านมา ขณะที่ในไตรมาส 1/58 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ที่ 7.4%

"เรื่องราคาขายยางพาราก็เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่ราคาปีนี้เราก็ประเมินว่าคงไม่ต่ำกว่า 1.5 เหรียญต่อกิโลกรัม ทั้งยางแท่งและยางแผ่น แต่ตรงนี้คงไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นเรามากนัก เพราะเรามีการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนการผลิตที่ดี ซึ่งมาร์จิ้นในปีนี้ก็จะพยายามรักษาให้อยู่ในช่วง 5-7% แต่ก็ต้องยอมรับว่าราคายางที่มันตกลงไปปัจจัยหลักมาจากเศรษฐกิจโลกที่ IMF ออกมาปรับลดจีดีพีเป็นช่วงๆ ซึ่งมันก็แย่ แม้ว่าค่าเงินบาทเราจะอ่อนลง ซึ่งช่วยได้นิดหน่อยที่ทำให้ราคาขายของบริษัทจะถูกลงในสายตาคู่ค้า แต่ถ้าสภาพเศรษฐกิจโลกยังแย่มันจะไปกระทบกับปริมาณการขาย ซึ่งตอนนี้ดีมานด์ก็ยังไม่กลับมาดีนัก และราคาน้ำมันที่ลดลงก็มีผลกระทบกับราคาขายยางพาราบ้าง แต่จริงๆมันก็มีผู้ใช้ที่ยังคงใช้ยางอย่างสม่ำเสมอ อย่างเช่น การซ่อมแซมรถ การเปลี่ยนยาง อะไรแบบนี้ที่ยังพอช่วยให้เราขายยางได้"เจ้าหน้าที่นักลงทุนสัมพันธ์  กล่าว

STA ยังคงมั่นใจที่ครองการเป็นอันดับ 1 ของบริษัทผู้ค้ายางพารางของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาด 10% จากปริมาณการขายมากที่สุดที่ 1.2 ล้านตัน/ปี มากกว่าคู่แข่งในประเทศเวียดนามที่มีปริมาณการขายยางพาราทั้งประเทศอยู่ที่ 954,000  ตัน/ปี โดยมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 85% และมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ  15%
อีกทั้งภายในสิ้นปี 58 บริษัทจะมีกำลังการผลิตยางแท่งและยางแผ่นในประเทศจากโรงงานทั้งหมด 25 โรงงาน จำนวน  1.16 ล้านตัน/ปี หลังโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มีขนาดกำลังการผลิตยางแท่งและยางแผ่นรวม 56,000 ตัน/ปี จะเริ่มเดินสายการผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาส 4/58 ส่วนกำลังการผลิตยางแท่งและยางแผ่นจากโรงงานในประเทศอินโดนีเซีย 3 โรงงาน ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 540,000 ตัน/ปี

สำหรับแผนการลงทุนโรงงานผลิตยางแท่งและยางแผ่นแห่งใหม่นั้นบริษัทได้มี การลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดเลยไปแล้ว คาดว่าจะเสร็จภายในช่วงปี 59 เงินลงทุนที่ใช้ไป 500 ล้านบาท และมีขนาดกำลังการผลิตยางแท่งและยางแผ่นรวม 60,000 ตัน/ปี
 
ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16/07/58)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 18, 2015, 09:51:07 AM โดย Rakayang.Com »