'ปิติพงษ์'จ่อหารือประเทศผู้ผลิตยาง ร่วมวางแนวทางแก้ปัญหาทั้งระบบ
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- จันทร์ที่ 22 กันยายน 2557 13:48:00 น.
22 ก.ย. 57 นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการเดินทางไปประชุมรัฐมนตรีเกษตรอาเซียน ที่ประเทศเมียนมาร์ ระหว่างวันที่ 23-25 ก.ย.นี้ว่า เพื่อลงนามความร่วมมือในการพัฒนาสินค้าเกษตรร่วมกันในอาเซียน ขณะเดียวกันยังมีการลงนามความร่วมือในการรตรวจสอบคุณภาพสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีน พร้อมทั้งลงนามในข้อตกลงไทยกับจีนในการส่งรังนางแอ่นไปประเทศจีน เพื่อให้มีความชัดเจนในการดูแลสุขอนามัย
อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งนี้ในส่วนประเทศไทยจะหาโอกาสที่จะหารือกับทางประเทศต่างๆโดยเฉพาะปประเทศคู่ค้า อย่างเช่นประเทศจีน เพื่อวางแนวทางส่งออกยางพาราไปประเทศจีนด้วย โดยในขณะนี้ในส่วนของยางพาราในประเทศในสต็อกมีเพียงสองแสนตันเท่านั้น และมีสัญญาการซื้อขายไปแล้ว 1 แสนตัน ขณะเดียวกันตนยังจะถือโอกาสหารือกับกลุ่มผู้ผลิตยาง โดยเฉพาะอินโดนีเซียและมาเลเซีย เพื่อกำหนดแนวทางแก้ปัญหารารายางร่วมกันในกลุ่มประเทศผู้ผลิตยาง ซึ่งที่ผ่านมามีเพียงแต่กรอบการทำงานร่วมกันแต่ไม่มีการปฎิบัติที่ชัดเจน จึงควรมีการกำหนดกรอบความร่วมมือต่อกันที่ชัดเจน เพราะขณะนี้ปัญหาเรื่องยางถือว่าวิฤกติ ที่ประเทศผู้ผลิตจะต้องวางแนวทางแก้ไยร่วมกัน หากมีความจำเป็นตนเดินทางไปเจรจาหารือร่วมกันในนามรัฐบาลกับทั้งสามประเทศต่อไปด้วย
ในส่วนปัญหาราคาตกต่ำในขณะนี้ในส่วนรัฐบาลได้วางกฎเกณฑ์ แก้ไขเร่งด่วนโดยการระบายยางในสต็อก เบื้องต้นได้มีสัญญาซื้อขายแล้ว 1 แสน ตัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาราคาและความเหมาะสมในช่วงการส่งออกเพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสมมากที่สุด ขณะเดียวกันตนได้กำชับ องค์การสวนยาง หรืออสย. เข้าไปตรวจสอบคุณภาพยางในสต็อกโดยเร็วเพื่อไม่ให่เกิดปัญหาต่อส่งออกอย่างละเอียด คาดว่าน่าจะสรุปตัวเลขยางที่มีคุณภาพเหมาะสมกับการส่งออกมาที่ตนเร็วๆนี้และจะเร่งระบายออกให้เร็วที่สุด หากเก็บไว้จะมีปัญหากับราคายางที่กำลังจะออกในเดือนหน้า ทั้งนี้หากพบว่ายางในต็อกมีคุณภาพต่ำในเรื่องการเรื่องเก็บรักษาจะมีการเอาผิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที
"เท่าที่ทราบเบื้องต้นกาเสียหายจากเก็บสต็อกยางไม่น่าจะมากดท่ากับสต็อกข้าว เพราะยางเก็บไว้ได้นามกว่าข้าว ซึ่งต้องเร่งระบายหากเก็บไว้ไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งจะรวมขายยางจากโครงการที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงไว้ทั้งหมด"รมว.เกษตร กล่าว
รมว.เกษตรฯ กล่าวต่อว่าจะต้องเร่งปรับโครงสร้างยางพาราทั้งระบบ โดยพื้นที่การปลูกยางในขณะนี้อยู่สองส่วน คือ 1.พื้นที่ป่าสงวนที่บุกรุกเข้าไปปลูกยางประมาณ 1 ล้านไร่ และ 2.พื้นที่การปลูกยางปกติของเกษตรกร โดยในพื้นที่ป่าสวงนทางรัฐบาลจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะถือว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าและเป็นหน้าที่ของกรมอุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าและกรมป่าไม้ จะต้องเข้าไปดำเนินการตามมาตราทางกฎหมาย
ในส่วนพื้นที่ปลูกยางปกติ รัฐบาลมีมาตรารองรับในการปรับเปลี่ยนอาชีพในส่วนเกษตรกรรายย่อย โดยในแผนที่จะให้โค่นยางปี4แสนไร่ และมีการปลูกยางทดแทน ซึ่งจะทำให้ลดปริมาณยางออกจากตลาดไปได้ 6ปีกว่าจะสามารถกรีดยางต้นใหม่ได้ โดยจะเข้าไปแนะนำ ส่งเสริม อาซีพอื่นที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรเหล่านี้ หากเกษตรกรจะเลิกปลูกยางไปเลย ทางภาครัฐก็ให้การสนับสนุนหาอาซีพอื่นให้อีกด้วย
รมว.เกษตรฯกล่าวถึงมาตราการระยะสั้นในการช่วยเกษตรกรสวนยางได้มอบหมายในสหกรณ์ และสถาบันเกษตรกร เข้าไปรับซื้อยางกับเกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้งสนับสนันให้มีการแปรรูปเพื่อจะขายในการใช้ในโครงการต่างๆของรัฐ อีกทั้งมีมาตราการให้ชะลอการกรีดยาง ในช่วงที่ยางล้นตลาดด้วย
นายปีติพงศ์ กล่าวถึงการปรับโครงสร้างภาคเกษตรที่มีแนวทางการให้ชาวนาเลิกผลูกข้าวบางพื้นที่นั้นว่าในเบื้องต้นตนได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาอย่างละเอียดถึงวิธีการส่งเสริมให้ชาวนาเลิกปลูกข้าวขณะนี้กำลังพิจารณาจำนวนเงินที่จะเช้าไปสนับสนุนให้เลิกปลูกข้าว ในอัตราที่มีความเหมาะสมรวมทั้งส่งเสริมอาชีพทดแทนเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ โดยแนวทางดังกล่าวไม่ใช่มาจากกระทรวงเกษตรเท่านั้นที่ต้องการให้ชาวนาบางพื้นที่ยกเลิกปลูกข้าว แต่เป๋นข้อเสนอของชาวนาเองด้วย ที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะศึกษาแนวทางให้เร็วที่สุด ยอมรับว่าข้อมูลที่มีอยู่ในกระทรวงเกษตรขณะนี้ยังไม่รอบด้าน ไม่สามารถนำมาตัดสินใจได้ ตนจึงสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้หงมด โดยเฉพาะสำนักงานเศรฐกิจการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ให้ทำข้อมูลที่ละเอียดมากกว่าที่เป็นอยู่เพื่อนำมาเป็นฐานในการดำเนินยุทธศาตร์ภาคเกษตรที่ถูกต้อง ต่อรัฐบาล
ADVERTISEMENT
