ผู้เขียน หัวข้อ: จอกยางนาโน มอ. ประหยัด ปลอดภัย  (อ่าน 772 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 84531
    • ดูรายละเอียด
จอกยางนาโน มอ. ประหยัด ปลอดภัย
« เมื่อ: กันยายน 18, 2014, 04:37:48 PM »

จอกยางนาโน มอ. ประหยัด ปลอดภัย








นักวิจัย มอ. จับมือ สมาคมน้ำยางข้นไทย พัฒนานวัตกรรมนาโนผลิตภัณฑ์พ่นเคลือบผิว ลดการสูญเสียน้ำยางตั้งแต่เก็บเกี่ยวจนถึงระบบการผลิตน้ำยางข้นในระดับอุตสาหกรรม คาดเป็นผลิตภัณฑ์ช่วยลดการสูญเสียน้ำยางให้แก่อุตสาหกรรมยางไทยได้กว่า 3 แสนตันต่อปี


ประเทศไทยมีพื้นที่การปลูกต้นยางพาราทั้งสิ้นกว่า 18 ล้านไร่ หรือกว่า 1,000 ล้านต้น ซึ่งกระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งเกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่จะขายในลักษณะของน้ำยางสดให้แก่อุตสาหกรรมเพื่อแปรรูปต่อไป ซึ่งในขั้นตอนการเก็บเกี่ยวน้ำยางนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานจำนวนมากเพื่อรวบรวมน้ำยางที่ได้จากการกรีด ซึ่งจะต้องปาดน้ำยางออกจากจอกยางให้ได้มากที่สุด เพื่อลดการสูญเสียในขั้นตอนดังกล่าว






เนื่องจากน้ำยางมีความเหนียวมากในขั้นตอนของการเก็บเกี่ยวจะมีน้ำยางที่ติดค้างอยู่ที่จอกยาง ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้แห้งแล้วเก็บไปขายในลักษณะขี้ยางซึ่งเป็นยางที่ขายได้ราคาถูกและคุณภาพต่ำกว่าน้ำยางสด ด้วยเหตุนี้เอง ดร.ฉลองรัฐ แดงงาม นักวิจัยของสถาบันวิจัยความเป็นเลิศนาโนเทคโนโลยีเพื่อพลังงาน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จึงพัฒนางานวิจัยที่มีชื่อว่า ?น้ำยาพ่นเคลือบผิวที่มีคุณสมบัติไม่ชอบน้ำยางอย่างยิ่งยวด?


ดร.ฉลองรัฐ กล่าวว่า หากลองเปรียบเทียบภาพรวมของไทย สวนยางพารา 1 ไร่ เฉลี่ยปลูกยางได้ประมาณ 75 ต้น จากข้อมูลเมื่อปี 2556 พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ที่สามารถกรีดยางได้ประมาณ 15,130,363 ไร่ จะมีต้นยางพาราประมาณ 1,134,777,225 ต้น หากยังปล่อยให้มีการสูญเสียน้ำยางในขั้นตอนการเก็บเกี่ยวประมาณ 2 กรัมต่อต้นต่อวัน คิดเป็นน้ำยางที่สูญเสียไปประมาณ 2,270 ตันต่อวัน และในหนึ่งปีสามารถกรีดยางได้ 150 วัน ดังนั้นประเทศไทยจะสูญเสียน้ำยางพาราสดปริมาณ 340,555 ตันต่อปี เทียบเท่ากับว่าเราจะสูญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์จำนวนนับหมื่นล้านบาทต่อปี จึงเป็นที่มาของนวัตกรรมชิ้นนี้ที่จูงใจให้อาจารย์พัฒนาสูตรน้ำยาที่ทำให้การเก็บน้ำยางง่ายดายขึ้น นั่นคือน้ำยางไม่เกาะติดกับผิวของจอกยางได้เป็นผลสำเร็จในฐานะอุปนายกสมาคมน้ำยางข้นไทย






คุณอภิชาติ เตชะภัทรกุล สมาคมน้ำยางข้นไทย ได้กล่าวเสริมงานวิจัยชิ้นนี้ว่ายินดีร่วมมือที่จะส่งเสริมผลงานวิจัยชิ้นนี้ เนื่องจากทราบดีว่านอกจากการสูญเสียระหว่างการเก็บเกี่ยวน้ำยางสดแล้วเกษตรกรบางรายมีการใช้จอกยางที่มีขี้ยางติดอยู่มากซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเชื้อและปนเปื้อนมาที่น้ำยางสดเรียกว่า VFA หรือ Volatile fatty acid น้ำยางจะถูกเชื้อทำลายจนเกิดการเสียสภาพ ส่งผลต่อคุณภาพของน้ำยางโดยตรง และยังส่งผลไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากน้ำยางเหล่านั้น เช่น ถุงมือยาง หรือถุงยางอนามัย ที่จะเป็นรูหรือรั่วง่าย โดยทั่วไปน้ำยางข้นมีความหนืดสูงกว่าน้ำยางสดมักมีการเกาะติดตามบ่อพัก รางและท่อลำเลียงโรงงานต่างๆ จึงต้องใช้พลังงานสูงเพื่อให้มีแรงส่งน้ำยางในระบบการผลิต และยังมีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานเพื่อทำความสะอาดระบบที่อาจต้องหยุดการผลิต 2-3 วัน ส่งผลให้การผลิตไม่ต่อเนื่อง โดยทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผลทำให้ต้นทุนในการผลิตน้ำยางข้นสูงขึ้น






แม้ว่าอุตสาหกรรมน้ำยางข้นจะเป็นเพียง 1 ใน 4 ของภาพรวมอุตสาหกรรมยางทั้งประเทศแต่ถ้าเราทำให้เป็น 1 ส่วนที่เต็มประสิทธิภาพได้คงจะดีกว่า สมาคมน้ำยางข้นไทยจึงสนับสนุนงานวิจัยนี้เพราะเรามั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำยางข้นตอนนี้ได้อีกทั้งงานวิจัยนี้เป็นผลงานที่มีศักยภาพสูงและสามารถพัฒนาไปได้อีกมากเพื่ออุดช่องโหว่ของปัญหาอุตสาหกรรมยางไทยต่อไป ล่าสุดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้อนุญาตให้บริษัทเอกชน นำร่องทำผลิตภัณฑ์ 2 ประเภทใช้สำหรับการเคลือบผิวจอกยาง และผลิตภัณฑ์สำหรับเคลือบผิวภาชนะที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำยางข้น และคาดว่าจะขยายผลไปยังอุตสาหกรรมแปรรูปน้ำยางพาราต่อไป?


 


 


วันที่ 18/09/2557 เวลา 8:44 น