พณ. ชี้ยางพาราล้นตลาด คาดราคาครึ่งปีหลังขาลง
ดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ส.ค. 2557 15:23
ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยภาพรวมเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า กระทบราคายางพาราร่วง แนะเกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่น หารายได้เสริม...
นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สถานการณ์ราคายางพาราในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 (ม.ค.-มิ.ย.) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากปรับตัวสูงสุดในช่วงต้นปี 2554 ซึ่งสะท้อนได้จากดัชนีราคาผู้ผลิตกลุ่มสินค้ายางพารา หมวดผลผลิตเกษตรกรรม ดัชนีราคาลดลง 20.2% นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ยางพารา (ยางแผ่นรมควัน และยางแท่ง) หมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมราคาปรับลดลงเช่นกัน โดยลดลง 12.7%
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคายางพารามีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผลผลิตยางธรรมชาติของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2556 มีปริมาณผลผลิตถึง 3.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีก่อน และปริมาณผลผลิตของไทยมีสัดส่วนสูงที่สุดในโลกถึง 31.6% และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมีสัดส่วนปริมาณผลผลิตสูงเช่นกัน ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวช้าบางประเทศเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวและมีความเปราะบาง รวมถึงประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาทิ จีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น จากวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการยางพาราของตลาดโลกลดลง และเกิดปัญหาสต๊อกยางพาราอีกด้วย
นอกจากนี้ การเก็งกำไรในตลาดซื้อขายยางพาราล่วงหน้า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการขยายพื้นที่ปลูกของประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทย ส่งผลต่อราคายางพาราเช่นกัน ทั้งนี้ คาดว่าราคายางพาราในตลาดโลกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 ยังคงปรับตัวลดลงจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์มีแนวโน้มลดลง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยการรักษาเสถียรภาพราคายางพารา และช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อนุมัติเงินจำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้แก่ชาวสวนยางพาราทั่วประเทศ แต่เป็นการแก้ปัญหาเพียงระยะสั้นเท่านั้น.
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรจำเป็นต้องร่วมมือกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์ยางพาราในประเทศมากขึ้น คิดค้น พัฒนาและวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมสำหรับยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยเฉพาะการผลิตสินค้าที่เป็นอุตสาหกรรมปลายน้ำ และเกษตรกรจะต้องปรับตัวโดยการลดต้นทุนการผลิตให้เหลือน้อยที่สุด ปลูกพืชชนิดอื่นเสริมเพื่อหารายได้เพิ่ม ตลอดจนลดการสร้างหนี้ ซึ่งการดำเนินการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรสามารถประกอบชีพได้อย่างมั่นคงและมีรายได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว.