ผู้เขียน หัวข้อ: ศอ.รส.ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1แนะครม.ขอพระบรมราชวินิจฉัย หากครม.ต้องพ้นตำแหน่ง  (อ่าน 649 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 85676
    • ดูรายละเอียด
ศอ.รส.ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1แนะครม.ขอพระบรมราชวินิจฉัย หากครม.ต้องพ้นตำแหน่ง


สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -18 เม.ย. 57 8:30: น.
                   ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ทั้งองค์กรกลุ่มบุคคล คณะรัฐมนตรี กลุ่มแกนนำผู้ร่วมชุมนุม ประชาชน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสถานการณ์ หรือแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือรักษาความสงบเรียบร้อย
                   วานนี้ ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รองผู้อำนวยการ ศอ.รส. พร้อมด้วย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการ ศอ.รส. และ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค 1 รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คณะทำงานเลขาธิการ ศอ.รส. แถลงการณ์ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ฉบับที่ 1 เรื่อง ข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ เพื่อการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย ดังนี้
                        ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เป็นหน่วยงานพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดย ศอ.รส. มีภารกิจสำคัญในการสนธิกำลังทั้งข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต่างๆ เพื่ออำนวยการและปฏิบัติการให้เกิดความเรียบร้อยในทุกๆ มิติ ทั้งในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และสังคมในภาพรวม
                        ตลอดเวลา 30 วันที่ได้มีการจัดตั้ง ศอ.รส. ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการทั้งปวงให้เกิดความสงบเรียบร้อยได้ตลอดมาในระดับหนึ่งนั้น ขณะนี้มีข้อมูลอย่างเพียงพอที่ได้บ่งชี้ว่าจะเกิดความรุนแรงและเหตุร้ายขึ้นในเขตพื้นที่รับผิดชอบของศอ.รส. โดยเฉพาะการระดมจัดมวลชนให้มีการชุมนุมใหญ่ทั้งของ กปปส. และ นปช. และกลุ่มอื่น ๆ ในลักษณะท้าทายและแข่งขันกัน ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือการวินิจฉัยขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ 2 องค์กร คือคณะกรรมการ ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ
                        กล่าวคือคณะกรรมการ ป.ป.ช. กำลังจะวินิจฉัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ทำให้รัฐเสียหาย กรณีโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่ ซึ่งหากวินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูลแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ซึ่งกรณีเช่นนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่านายกรัฐมนตรีจะต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามมาตรา 181 หรือจะให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่แทนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้โดยไม่เกิดสุญญากาศทางการบริหารประเทศ
                        ในส่วนของศาลรัฐธรรมนูญนั้นกำลังจะมีคำวินิจฉัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกระทำการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ตามมาตรา 266 แห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกรัฐมนตรีกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 266 ดังกล่าว รัฐมนตรีทั้งคณะก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 180 ซึ่งแม้มาตรา 181 จะบัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ก็มีการคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญจะได้วินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญ คือวินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งโดยจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 181 อีกไม่ได้
                        ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดสุญญากาศตามที่ กปปส. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มต้องการเพื่อนำไปสู่การทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งมีการอ้างมาตรา 3 และมาตรา 7 ในขณะที่กลุ่ม นปช. และกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มก็จะไม่ยอมรับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกินจากรัฐธรรมนูญเช่นนี้ ตลอดจนการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดังกล่าวข้างต้นด้วย ซึ่งขณะนี้ก็ได้ปรากฏเป็นข้อมูลและข้อเท็จจริงของการเผชิญหน้าและการท้าทายที่จะจัดการชุมนุมใหญ่ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย และจะนำไปสู่การปะทะกันและก่อเหตุร้ายต่อกันและกันแล้ว
                        ศอ.รส. มีความกังวลและห่วงใยต่อสถานการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างมากเพราะขณะนี้ความขัดแย้งและการจัดแนวร่วมของแต่ละฝ่ายขยายตัวในวงกว้างมีกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนและคัดค้านแต่ละฝ่ายจำนวนมาก และมีการกล่าวหาว่าองค์กรอิสระบางองค์กรเป็นแนวร่วมกับบางกลุ่มด้วย ตลอดจนมีความพยายามจัดการเลือกตั้งให้เนิ่นช้าออกไปเพื่อให้ปัญหาลุกลามและเกิดสุญญากาศตามแนวทางของบางฝ่าย
                        เพื่อบรรลุภารกิจของ ศอ.รส. ซึ่งเป็นหน่วยงานพิเศษที่รับผิดชอบแก้ไขปัญหาความไม่สงบอันเกิดจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงในขณะนี้ ศอ.รส. โดยมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ซึ่งมี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ศอ.รส. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษา ศอ.รส. นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศอ.รส. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศอ.รส. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะเลขาธิการ ศอ.รส. และหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้แทนซึ่งรวมเป็นฝ่ายบริหาร และที่ปรึกษา ศอ.รส. อันประกอบด้วยทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ พลเรือน และหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วย ซึ่งได้ร่วมประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นสมควรออกแถลงการณ์ฉบับนี้เพื่อเรียกร้องต่อองค์กรกลุ่มบุคคล คณะรัฐมนตรี และกลุ่มแกนนำผู้ร่วมชุมนุมตลอดจนพี่น้องประชาชน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างสถานการณ์หรือแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง หรือรักษาความสงบเรียบร้อยโดยขอให้แต่ละฝ่ายดำเนินการดังต่อไปนี้
                        1. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยความเคารพต่อองค์กรและเห็นถึงบทบาทอันสำคัญ แต่มีความกังวลในตัวคณะกรรมการบางคน ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินคดีและมีคำวินิจฉัยต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีโครงการรับจำนำข้าวอย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐานที่แตกต่างกันระหว่างคนของพรรคฝ่ายค้านและกับพรรคฝ่ายรัฐบาล โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมอันเป็นมาตรฐานสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
                        2. ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยความเคารพต่อองค์กรและเห็นถึงความสำคัญ แต่มีความกังวลในตัวตุลาการบางคน ศอ.รส. จึงขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาและมีคำวินิจฉัยต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในกรณีการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อย่างตรงไปตรงมา เพราะเมื่อเป็นการกระทำในอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีแล้วก็ไม่อาจเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้ และประการสำคัญอย่างยิ่งศาลรัฐธรรมนูญจะต้องไม่วินิจฉัยเกินเลยไปถึงขนาดว่าหากความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว รัฐมนตรีทั้งคณะจะต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามมาตรา 180 โดยจะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ตามมาตรา 181 อีกไม่ได้ ซึ่งจะเป็นการวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญ โดยศาลรัฐธรรมนูญจะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมและคำถวายสัตย์อันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องยึดถือในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
                        3. คณะรัฐมนตรี ศอ.รส. ขอเรียกร้องว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินกว่ารัฐธรรมนูญตามที่กล่าวมาในข้อ 2 แล้ว คณะรัฐมนตรีจะต้องแก้ไขปัญหามิให้เกิดสุญญากาศเพราะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเสียเอง คณะรัฐมนตรีก็ชอบที่จะทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยว่าคณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากการอยู่ในตำแหน่งตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินจากรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะคณะรัฐมนตรีได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง การจะพ้นไปก็สมควรที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นไป มิใช่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ชี้ขาดเสียเองโดยฝ่าฝืนมาตรา 181 ดังกล่าว โดยในระหว่างทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยนั้นให้กราบบังคมทูลด้วยว่าคณะรัฐมนตรีจะคงอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา 181 การทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดข้อยุติอันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองโดยมิต้องเกิดการใช้กำลังของกลุ่มคน 2 กลุ่มเข้าก่อเหตุร้ายต่อกัน และป้องกันมิให้คณะรัฐมนตรีกระทำผิดตามมาตรา 181 ด้วย
                        ศอ.รส. เห็นว่ามาตรา 181 เป็นหลักการอันสำคัญของการบริหารประเทศที่ป้องกันไม่ให้เกิดสุญญากาศหรือช่องว่างโดยจะไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้เป็นอันขาดในทุก ๆ กรณี ซึ่งในอดีตรัฐธรรมนูญทุกฉบับก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา 181
                        อนึ่ง ข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้นนั้นรวมถึงกรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะได้วินิจฉัยว่าข้อกล่าวหาต่อนายกรัฐมนตรีมีมูล และนายกรัฐมนตรีต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 272 ด้วย
                        4. คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้รับผิดชอบในการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว เพื่อจะได้มีรัฐบาลชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติ และการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ จะยุติลงทันที และการแสดงพฤติกรรมของ กกต. บางคนที่ประกาศชัดเจนว่าจำเป็นต้องเอนเอียงเข้าข้างบางฝ่ายนั้น เป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและเข้าข่ายผิดต่อกฎหมายด้วย
                        5. แกนนำของ กปปส. และ นปช. ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้ยุติการชุมนุมและไม่ปลุกระดมเรียกคนเข้าร่วมชุมนุมใหญ่เพราะจะเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อการกระทบกระทั่ง และก่อเหตุร้ายต่อกันและกัน หากแกนนำยังคงฝ่าฝืนจนเกิดเหตุร้าย แกนนำทุกคนทุกกลุ่มจะต้องรับผิดชอบต่อการทำผิดกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งอย่างถึงที่สุด
                        6. หัวหน้าส่วนราชการ ศอ.รส. ขอเรียกร้องต่อหัวหน้าส่วนราชการระดับสูง อันได้แก่ ปลัดกระทรวง เลขาธิการ อธิบดี และหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออื่น ๆ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการบริหารจัดการให้ส่วนราชการ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ สามารถปฏิบัติงานให้บริการประชาชนได้อย่างดีตามปกติ โดยไม่ถูกบุกรุกหรือปิดล้อมจนไม่สามารถให้บริการได้ รวมถึงการกำชับ ตักเตือน และดูแลให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกับกิจกรรมใด ๆ ที่อาจเข้าข่ายสนับสนุนแกนนำของกลุ่มเรียกร้องที่กระทำผิดกฎหมายและอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดี เช่น กลุ่ม กปปส. และกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและเหมาะสมด้วย
                        7. พี่น้องประชาชน ศอ.รส. ขอเรียกร้องให้งดเว้นการเข้าร่วมชุมนุมไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. และกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มอื่นใด เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งและเหตุร้ายที่จะรุนแรงขึ้นแล้วยังเป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมด้วย และขณะนี้แกนนำของทุกฝ่ายได้พยายามใช้การปลุกระดมในลักษณะสงครามทางจิตวิทยาเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อฝ่ายตนและเพิ่มความเกลียดชังฝ่ายอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนจะต้องมีสติ และใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบให้มากที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อตามคำยุยงแล้วกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป
[/t][/t][/t]
 
เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม 
                อีเมล์. reporter@efinancethai.com
[/td][/tr][/table][/td][/tr][/table]