ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 120 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

แนบไฟล์:
(Clear Attachment)
(แนบไฟล์เพิ่ม)
Restrictions: 4 per post, maximum total size 192KB, maximum individual size 128KB
Verification:
กรุณาพิมพ์ชื่อนี้ Rakayang เป็น???าษาไทย:

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: Rakayang.Com
« เมื่อ: กันยายน 17, 2014, 09:08:31 PM »


จี้คสช.ตรวจสต๊อกยางเหมือนโกดังข้าว
17 กันยายน 2557 เวลา 20:21 น.




นครศรีธรรมราช-ภาคีเครือข่ายยางฯภาคใต้เรียกร้องคสช.ตรวจสต๊อกยางเหมือนโกดังข้าวพบทุจริตจำนวนมาก


เมื่อวันที่ 17 ก.ย.17.00 น.นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดภาคใต้ กล่าวระหว่างเสวนารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาราคายางพาราที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราชว่าเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้อยากให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ตรวจสอบว่ายางค้างอยู่ในสต๊อกจำนวน 2.1 แสนตันจริงหรือไม่ ทำไมไม่ทำเหมือนที่ตรวจสต๊อกข้าวในโกดังที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีการทุจริตมากมาย มีการหมกเม็ดเต็มไปหมด ดังนั้นควรที่จะตรวจสต๊อกยางให้เรียบร้อยก่อนจะปล่อยยางจำนวน 2.1 แสนตันออกไป และคิดว่ารัฐบาลควรจะขายยางให้กับบริษัทที่ให้ราคาสูงสุด เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ เพราะปัจจุบันนี้อยู่ไม่ได้แล้ว


นายทศพล กล่าวอีกว่า ภาคีเครือข่ายยางฯจะประชุมกันในวันที่ 18 ก.ย.นี้ แต่ได้รับการประสานงานจากจังหวัดให้มาร่วมรับฟังในครั้งนี้ ตั้งแต่กลุ่มภาคีเครือข่ายฯต่อสู้กันมาในปี 2556 ได้มีความคิดกันว่าจะผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราทั้งระบบเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวและยั่งยืนให้กับเกษตรกร ไม่ต้องออกมาปิดถนนเหมือนที่ผ่านมา


"การต่อสู้ครั้งนี้มีเหตุผลว่า ถ้าไปปิดตามทุ่งนา สนามหญ้า วันนั้นรัฐบาลคงไม่เห็นความสำคัญ เราจึงมีความจำเป็นต้องปิดถนน แต่การชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย จึงคิดว่าภาคีครือข่ายฯ ทั้งหมดจะต้องสู้กันด้วยสมอง สู้กันด้วยความคิดว่า ทำอย่างไรให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันทั้ง 16 ภาคใต้ และทั่วประเทศถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด นำไปสู่ความอนาคตที่ยั่งยืน"ประธานภาคีเครือข่ายฯกล่าว


อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาทราบว่ามีบริษัทจากประเทศจีน ชื่อบริษัทไหหนานติดต่อซื้อยางในราคา กก.ละ 70 บาท และอธิบดีกรมวิชาการการเกษตรออกมายอมรับว่าจีนจะมาซื้อในราคา กก.ละ 70 บาท แต่ไปขัดกับ อสย.ที่บอกว่าบริษัทจากสิงคโปร์ มาเสนอซื้อ 58-62 บาท แต่เอกสารไม่พร้อม ดังนั้นในนามภาคีเครือข่ายฯและตัวแทนเกษตรกรมีความคลางแคลงใจว่าทำไมไม่ขายให้บริษัทจีนที่เสนอซื้อในราคาที่สูงกว่า ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำยางบางแห่งรับซื้อกันเพียง กก.ละ 39 บาท อาจลดลงเหลือ 3 กก.ต่อ 100 บาท